pue's tales ; tales from pue
untitle
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

 
 
ตอนที่ 2

อเล็กเซ่ ซิ่งรถคันโตของเขาผ่านเข้าประตูรั้วเหล็กโปร่งสีดำที่เปิดเข้าสู่ตัวบ้านสไตล์เรอแนสซองค์หลังงามที่ตั้งอยู่ในชนบทของลอนดอน ในขณะที่คริสนั่งมองหน้าพี่ชายของเขาอย่างเซ็งๆ

 “ถ้านายจะทำตัวให้มันเป็นผู้ดีกว่านี้หน่อย ฉันว่าป้าแมรี่แอนน์คงไม่คิดตัดแกออกจากกองมรดกหรอกนี่มันเรื่องอะไรวะ อิ๊กซี่ นายจะทำหน้าตาให้มันดูน่าคบหาหน่อยไม่ได้หรือไง สุภาพสตรีสองคนนั่นคงงงพิลึกล่ะ”คริสพูดอย่างไม่เข้าใจในอารมณ์ของพี่ชายนัก ก่อนจะเปิดประตูลงมายืนเบื้องหน้าบันไดหกขั้นที่เป็นด่านแรกในการนำพวกเขาเข้าสู่ “เอมแบลล์” แมนชั่น

 “นายควรจะหุบปากแล้วก็อยู่เฉยๆ ไว้ คริส …มันก็แค่มรดกไม่กี่ล้านปอนด์ที่ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีสิทธิได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ลุงโจนส์แกก็ไม่ได้เห็นเราเป็นญาติสนิทอะไร ป้าแมรี่แอนน์เองก็ใช่ว่าจะชื่นชมเชื้อสายของเรานัก ไม่ต้องคิดไปหรอกน่า” อเล็กเซ่ หรืออิ๊กซี่พูดอย่างรำคาญ ก่อนจะเดินนำคริสก้าวเข้าสู่ตัวแมนชั่น

 แมนชั่นแห่งนี้เป็นที่อยู่ของป้าแมรี่แอนน์ และลุงโจนส์ เอมแบลล์ ญาติสองคนสุดท้ายในโลกที่อเล็กเซ่และคริสโตเฟอร์รู้จัก เพราะพ่อและแม่ของทั้งคู่เสียชีวิตไปได้ 3 ปีแล้ว ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก แต่ทั้งอเล็กเซ่และคริสโตเฟอร์ก็ไม่เดือดร้อนอะไรนักหากไม่มีสองคนนี้ช่วยเหลือ เพราะอีวาน พ่อของพวกเขาไม่ได้เป็นพวกเกาะญาติกิน และสามารถทำเงินได้ปีละหลายร้อยล้านดอลล่าห์จากธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยวต่างๆ นอกจากนี้แม่ของพวกเขายังเป็นลูกสาวของอธิบดีกรมตำรวจของประเทศรัสเซีย ที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักคำว่ายากลำบาก นอกเสียจากความลำบากในการจะเข้าพวกกับคนอังกฤษจ๋าอย่างป้าแมรี่แอนน์กับลุงโจนส์เท่านั้น

นั่นก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมเมื่อป้าแมรี่แอนน์เสียชีวิตเมื่อเดือนก่อน ทั้งอเล็กเซ่และคริสโตเฟอร์จึงแทบจะไม่ได้มรดกอะไรจากเธอเลย  เธอไม่เคยไยดีอะไรกับพวกเขาอยู่แล้ว ทำไมยามตายเธอจะต้องทิ้งมรดกร้อยล้านให้ด้วยเล่า แต่วันนี้มันดันมีเรื่องที่ไม่น่าจะมี ทั้งอเล็กเซ่และคริสโตเฟอร์จึงต้องโผล่หัวมาแมนชั่นนี้ในเวลาเกือบย่ำรุ่งอย่างนี้
“เฮ้ มีใครอยู่ไหมเนี่ย” อเล็กเซ่ตะโกนถาม ในขณะที่เสียงของเขาก้องกังวาลไปทั่วห้องโถงหินอ่อนที่ทั้งคู่ยืนอยู่ และทำให้โคมระย้าที่ทำด้วยคริสตัลแกว่งไกวจนน่ากลัวว่าจะร่วงลงมาแตกเป็นเศษบนพื้นหินอ่อนเงาวับเบื้องล่าง
“เบาหน่อย อิ๊กซี่ ฉันไม่อยากต้องจ่ายเงินค่าโคมระย้างี่เง่านั่น” คริสพูดอย่างกลัวๆ ถึงแม้เขาจะมีตำแหน่งเป็นถึงกรรมการบริษัท แต่เงินทองก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคริส จนไม่สามารถที่จะเอาไปใช้จ่ายกับเรื่องงี่เง่าอย่างนี้ได้

มีเสียงกระแอมดังมาจากห้องแกรนด์บอลลูมทางด้านหลังบันไดวน ทั้งคู่จึงสาวเท้าเข้าไปและได้พบกับแอนนา แม่บ้านวัยดึกที่กำลังนั่งเอาผ้าเช็ดหน้าผืนโตขลิบลูกไม้ขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่หล่นเผาะแผะลงมาอย่างหยุดไม่อยู่
“โธ่ แอนนา นี่ป้าหยุดร้องไห้ได้แล้วนะ เดี๋ยวลุงโจนส์แกก็กลับมาเองแหละ ลุงแกคงไม่ถึงขั้นขายบ้านหรอก” คริสเดินเข้าไปปลอบอกปลอบใจตามประสาคนขี้สงสารและอ่อนไหว เขารู้ดีว่าแม้ป้ากับลุงจะไม่ได้รักใคร่คนรับใช้ในบ้านนักแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นย่ำแย่นัก และแอนนาก็เป็นแม่บ้านให้ที่นี่มาตั้งแต่สมัยปู่กับย่าของเขาแล้ว คงจะตัดใจลำบากที่ต้องจากแมนชั่นหลังมหึมานี้ไป

“แอนนา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะ ทำไมอยู่ๆ ลุงแกต้องหอบกระเป๋าเสื้อผ้าออกไปกลางดึกอย่างนี้ด้วย” เอล็กเซ่ถามแอนนา ด้วยหน้าตาเซ็งๆ

“คุณโจนส์น่ะค่ะ แกบอกว่าแกเจอผี...” แอนนาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตา “ผีคุณแมรี่แอนน์ แกกลัวเลยเก็บเสื้อผ้าไปเลยค่ะ” แอนนาหยุดพูดเพื่อสูดน้ำมูก ก่อนจะพูดต่อว่า “คุณโจนส์บอกว่าจะขายแมนชั่นนี้เลยค่ะ”
“นี่มันบ้าแล้ว มรดกตัวเองก็ไม่ใช่” คริสเริ่มหัวเสีย บ้านหลังนี้เป็นของครอบครัว “แอมเบลล์” ที่ป้าของเขาเป็นผู้ได้มรดกมาจากปู่และย่า ส่วนพ่อของเขาไมได้อะไรนอกจากเงินและได้ย้ายไปอยู่กับแม่ของเขาในประเทศรัสเซีย ส่วนลุงโจนส์นั้นแทบไม่มีส่วนได้เสียอะไรเลย เมื่อป้าแมรี่แอนน์ผู้แสนจะขี้เหนียวยิ่งกว่าขนมตังเมตัดสินใจไม่ยกบ้านหลังนี้ให้ใคร นอกจากป้าแอนนา แม่บ้านที่อยู่รับใช้เธอมานาน

“เอาเป็นว่ายังไงลุงโจนส์แกก็ขายบ้านนี้ไม่ได้แน่ๆ แอนนาไม่ต้องกลัวไม่มีที่อยู่หรอก” อเล็กเซ่พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน เขารู้ดีว่าแม่บ้านอายุ 65 ปีอย่างแอนนา ไม่มีที่อยู่ที่อื่นนอกจากแมนชั่นหลังนี้ที่เธออยู่มาตั้งแต่ยังเด็กๆ และเธอก็ไม่มีญาติอยู่ที่ไหนด้วย   

“จริงๆ เหรอคะ” แอนนาถาม ตาโตด้วยความดีใจ

“จริงสิ เราเป็นเจ้าของบ้านนี้นะ” คริสตอบยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปโอบไหล่แอนนาให้ลุกขึ้นยืน “แล้วนี่ลุงโจนส์แกจะหนีไปอยู่ที่ไหนเนี่ย”

“คงไปได้ไม่นานหรอก อยู่สบายๆ มานาน แค่เรื่องเจอผีนี่มันไม่น่าจะทำให้ต้องหนีขนาดนั้น แต่ถ้าเรื่องเมียน้อยนี่ก็ไม่แน่นะ ป้าแมรี่แอนน์คงสืบรู้มาถึงได้ตามหลอกหลอนล่ะมั้ง” อเล็กเซ่พูดอย่างครุ่นคิด

“เฮ้ย แกไปเอาที่ไหนมาพูด อย่างลุงโจนส์เนี่ยนะ จะมีเมียน้อย ดูท่าทางแกไม่น่าดึงดูดใจสาว” คริสทำหน้าละเหี่ย เมื่อนึกถึงลุงโจนส์วัย 60 ที่มีผมสีเทาเต็มหัว ตัวสูงโย่งและผอมมากจนแทบจะเรียกได้ว่าหนังติดกระดูก แถมยังปากจัดพอๆ กับป้าแมรี่แอนน์ ยังไงก็ไม่น่าจะมีสาวมาติด

“ก็เงินไง” อเล็กเซ่ พูดยิ้มๆ ก่อนจะหันไปหาแอนนาแล้วพูดว่า “ไปเถอะแอนนา จะเช้าแล้ว ป้าไปนอนดีกว่านะ เดี๋ยวพวกเราจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเอง”

แอนนาลุกขึ้นพึมพำขอบใจก่อนจะเดินแยกจากทั้งสองไปที่ห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้พี่น้องสองคนยืนมองบ้านหลังใหญ่ที่บัดนี้ไม่มีใครอยู่ดูแลแล้ว


เอมี่กับเจนตื่นเช้าขึ้นมาอย่างโผเผ มันเป็นเช้าที่อากาศสดใส ไม่มืดครึ้มอย่างสองสามวันแรกที่พวกหล่อนมาถึง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกตื่นตัวพอที่จะออกไปวิ่งออกกำลังกายหรือทำอะไรให้ตัวเองรู้สึกกระฉับกระเฉง เอมี่ลืมตาขึ้นมาหลังจากกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะปิดตาลงไปใหม่เพราะแสงที่สาดเข้ามาทำให้แสบตา ในขณะที่เจนยอมกลิ้งตัวลงจากเตียงเพือให้ห่างจากลำแสงของดวงอาทิตย์ให้มากที่สุด

“วันนี้เราจะทำอะไรกันดี” เอมี่ถามทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา

“เอาเป็นว่าเฉพาะตอนนี้นะ ฉันอยากหายเมาค้างอ่ะ” เจนพูดอยู่ในคอ ทำให้เสียงที่ออกมาอู้อี้สุดๆ

“ไปหากาแฟกินดีกว่านะ” เอมี่บอกก่อนจะกระโดดผลุงลงจากเตียง อย่างพยายามเต็มที่ให้ตัวเองตื่น
ทั้งสองคนจัดการกับตัวเองอย่างลวกๆ และด้วยหน้าตาที่ยังไม่ได้แต่งและยังไม่ตื่นดีนัก ทั้งสองคนก็พาตัวเองเข้าสู่ถนนยามเช้าได้ อย่างไรก็ตามหลังจากการเดินวนไปวนมาอยู่นานก็พบว่าร้านกาแฟที่นี่มันต่างกับที่บ้านเธออย่างมาก
“ที่นี่ไม่มีสตาร์บัคหรืออะไรอย่างนั้นเลยหรือไงเนี่ย” เอมี่เริ่มบ่น หลังจากเดินไปเดินมาอยู่ 15 นาทีแล้วพบว่าละแวกที่เธออยู่ถูกยึดด้วยร้านซักรีด ร้านของชำ และร้านขายฟิชแอนด์ชิพ

“มันต้องมีสักร้านสิ อย่างน้อยร้านของชำนั่นก็ต้องมี” เจนบอกก่อนจะเดินตรงไปที่ร้าน
ร้านขายของชำนี้เป็นร้านเล็กๆ กระจกหน้าร้านถูกประดับไปด้วยสายรุ้งและดอกไม้ มันดูเหมือนร้านขายของที่ระลึกมากกว่า แต่เมื่อเดินเข้าไปภายในร้านจะพบว่าจริงๆ แล้วน่าจะเป็นเพราะเจ้าของร้านลืมเอาของตกแต่งร้านที่น่าจะจัดไว้ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ออก  ทางเดินสองข้างเต็มไปด้วยชั้นวางของและตู้แช่น้ำดื่ม ส่วนเคาเตอร์จ่ายเงินนั้นอยู่ลึกเข้าไปด้านใน

“เธอคิดจะซื้อกาแฟกระป๋องกินหรือไงนะ เจน” เอมี่กระซิบถามข้างหูเพื่อน ขณะเดินตัวลีบแทรกผ่านชั้นวางของแคบๆ
เอมี่ก้าวฉับๆ ตรงไปยังตู้แช่เครื่องดื่ม และเลือกกล่องน้ำผลไม้รวมขนาด 500 กรัมขึ้นมา ก่อนจะหันมาบอกเอมี่ว่า “ฉันไม่คิดว่ากาแฟกระป๋องจะอร่อยนะ อย่างที่รู้กันอยู่มันมีคาเฟอีน ไม่เหมาะที่จะดื่มหรอก เราต้องหาร้านกาแฟสดได้ แต่ในขณะที่หาไม่ได้ก็ดื่มนี่ไปก่อนละกัน เพื่อสุขภาพ”

“เพื่อสุขภาพ” เอมี่พูดซ้ำก่อนผงกหัวหงึกหงัก “ได้ ได้ แต่ยังไงฉันก็ยังอยากกาแฟอยู่ดี” เอมี่พูดงึมงำเมื่อเดินผ่านประตูหน้าร้านสู่อากาศบริสุทธิ์ภายนอกอีกครั้ง 

ทั้งสองเดินมุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก เมื่อมาถึงทางข้ามถนน เจนก็ทำให้เอมี่สะดุ้งเมื่อเธอเห็นเควิน “เฮ้ นั่นเควินนี่” เจนพูดเสียงดังเหมือนกลัวเอมี่จะไม่ได้ยินทั้งที่ถนนนั้นก็แสนจะว่าง และไม่มีเสียงอะไรรบกวนมากนัก เอมี่มองข้ามถนนไปพบเควินในชุดเสื้อยืดสีขาวเรียบกับกางเกงผ้าขายาวยืนพิงรถจากัวร์สีเขียวเข้มคันงามที่จอดอยู่หน้าทางเข้าที่พักของพวกเธออยู่อย่างสบายอารมณ์

“ไง สาวๆ อยู่แถวนี้สบายดีไหม อยากไปเที่ยวในเมืองกันบ้างหรือเปล่า วันนี้ป๋าเคฟจะพาเที่ยวเอง” เควินพูด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขากำลังจ้องอย่างมีเลศนัยไปที่เอมี่ ปากกว้างของเขาขยับยิ้มกว้างซึ่งจุดประกายให้ทุกอณูในตัวผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนโลกหยุดนิ่งด้วยความสดใสยิ่งกว่าท้องฟ้าหน้าร้อนบนหาดไมอามี่ ผมสีน้ำตาลเข้มยาวประบ่าดูสลวยเมื่อปลิวไปตามกระแสลมอ่อนๆ ยามเช้า เขาดูเหมือนศิลปินวาดภาพศิลปะมากกว่าเจ้าของกิจการให้เช่ารถ...แปลกดีนะ

“กำลังรออยู่เลย ชีวิตแถวนี้มันน่าเบื่อจริงๆ เล้ย” เอมี่พูดในขณะที่กอดคอเควินด้วยทั้งสองมือและจูบแก้มเควินอย่างหมั่นไส้ เควินหัวเราะเสียงดัง ในขณะที่ขยิบตาให้เจนที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อย เจนยิ้มก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน คู่นี้ต่างหากที่เธอคิดว่าน่ารักและสมกัน เธอไม่มีทางจะชอบผู้ชายอย่างเควินแน่ๆ เธอคิดขณะเดินเข้าบ้านและมีเสียงพูดคุยกระหนุงหระหนิงของผู้เดินตามหลังติดตามมา

“เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือตามฉันมาล่ะ” เอมี่ถามเควินด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

“ตามมาเหรอ หลงตัวเองไปแล้ว ที่รัก” เควินตอบ “แต่ก็ใช่แหละ ผมไม่ยอมให้สาวสวยสองคนจากฮอลลีวูดมาโดนผู้ชายแถบน็อตติ้งแฮมมางาบไปหรอก”

“เรากำลังหิวทีเดียว แถวนี้ไม่มีร้านกาแฟแบบสตาร์บัคเลย” เอมี่บ่นๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง ทิ้งให้เควินยืนเคว้งอยู่ในห้องรับแขกหลากสี

“อย่าบอกนะว่าพวกคุณแต่งห้องเอง มันดูเหมือนบริษัททำโฆษณาเลย เจ๋งมาก ผมน่าจะย้ายมาอยู่ด้วยนะเนี่ย”
“ไม่ใช่ย่ะ เขาแต่งไว้อยู่แล้ว และฉันว่ามันก็สวยดีนะ แล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยเหรอ... ไม่มีทางมิสเตอร์แฮนโนเวอร์ เรามาเที่ยวแบบสาวโสด การมีชายหนุ่มในห้องด้วยมันเสื่อมเสียนะ” เจนซึ่งเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พูดขณะเดินจากห้องน้ำไปยังห้องครัว “ฉันว่าเราไปซื้อเครื่องทำกาแฟดีกว่า” เจนเพิ่งนึกได้เมื่อมองไปรอบๆ ครัวแล้วพบแต่เตา ตะหลิว และกะทะ “เราไม่มีแม้แต่หม้อทำครัว” เจนพูดอย่างเซ็งๆ

“สรุปว่าหลังจากมื้อเช้าแล้ว เราจะไปหาซื้ออุปกรณ์ทำครัวละกัน ตกลงไหม” เควินถามสองสาวที่บัดนี้แต่งตัวเรียบร้อยและออกมายืนอยู่ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าสับสนเหมือนเด็กนักเรียนที่รอครูสั่งงาน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสามก็มาอยู่ในร้านกาแฟที่ชื่อเลิฟ บริดจ์ ช่างเป็นชื่อน่ารักจริงๆ และแม้มันจะอยู่ห่างจากที่พักของสองสาวครึ่งชั่วโมง แต่ทั้งคู่ก็ตกลงใจจะให้ที่นี่เป็นร้านอาหารเช้าอย่างแน่นอนแล้ว เอมี่นั่งมองการแต่งร้านแบบโปร่งเรียบด้วยสีขาว และสีฟ้ากับสีชมพูเพสเทล เธอรู้สึกล่องลอย เช่นเดียวกับเจน เฟิร์นพันธุ์ต่างๆ และดอกไม้ต้นเล็กๆ อย่างกุหลาบหินและกระดุมทองในกระถางสีเงินบนขาตั้งเหล็กดัดสี่ดำที่วางตกแต่งไว้ตามมุมห้องให้ความสดใสเหมือนฤดูใบไม้ผลิ

“ฉันรักบรรยากาศแบบนี้จริงๆ” เจนพูดขณะที่มือไล้ลู่ไปตามกลีบดอกกระดุมทองข้างตัว

“กาแฟก็ใช้ได้นะ” เอมี่พูดก่อนจะหันไปมองเควินที่มาถึงตอนนี้เขาดูเข้ากับบรรยากาศรอบตัวอย่างมาก “อยากได้ผืนผ้าใบจัง เควิน ภาพนี้ของเธอจะต้องคลาสสิคสุดๆ แน่ๆ ผู้ชายอเมริกันนี่ไม่น่าจะดูคลาสสิคได้เลยนะ มีแต่เธอนี่แหละ ถ้าหน้าตาเธอเป็นแบบโอลิเวอร์ มาติเนส ฉันคงต้องบ้าแน่เลย” เอมี่ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูสดใสและมีเสน่ห์จริงๆ ยิ่งตอนที่เควินยิ้มเสียอีก

ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านและเกือบจะทำให้บรรยากาศภายในร้านหม่นมัวไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความสูงใหญ่และเสื้อโค้ตสีดำสนิทของเขา เหมือนมันได้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในร้านภายในพริบตา แต่ก็เพียงครู่เดียว เมื่อเขาถอดโค้ตออก เสื้อภายในกลับเป็นเสื้อยืดสีเทาและกางเกงยีนส์สีซีด อากัปกิริยาบางอย่างทำให้ทั้งเอมี่กับเจนรู้สึกคุ้นตา และอยู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาพร้อมกัน สองสาวจ้องตากัน ก่อนจะพูดแต่ไม่มีเสียงพร้อมกันว่า “หนุ่มจีคิว”

“ไฮ มิสเตอร์แอมเบลล์ ไม่เจอกันหลายวันเลยนะ” เจ้าของร้านซึ่งเป็นสตรีวัยกลางคนทักเขาด้วยเสียงสดใส

“งั้น ผมก็สรุปได้ว่าคุณไม่ได้ดูโทรทัศน์แน่นอน ซูส เอาเหมือนเดิมนะ” เขาตอบ เสียงของเขายังคงความห้าวแต่ก็ดูนุ่มนวลไปด้วยเมื่อเจือเสียงหัวเราะเล็กๆ เข้าไปด้วย

เอมี่กับเจนหันไปมองหน้าเขาแบบเต็มๆ ตา เธอรู้แล้วว่าภายใต้หมวกไหมผมสีดำที่เห็นเมื่อคืนนั้นเป็นเส้นผมสีเข้มที่ตัดสั้นอย่างมีระเบียบ หลังจากมองอยู่พักหนึ่งทั้งสองก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เพราะชายที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์นั่นไม่น่าจะใช่ชายคนเดียวกับที่เจอเมื่อคืนเลย วันนี้เขาดูมีชีวิตชีวา ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าสดใส เปิดเผย ผิดกับหนุ่มอารมณ์ราบเรียบที่เจอนัก และมันก็เกือบจะทำให้สองสาวหมดความสนใจในตัวเขาไปในพริบตา หากไม่ได้ยินซูส (ซึ่งน่าจะเป็นชื่อของเจ้าของร้าน) ชวนเขาคุยต่อ

“ฉันไม่ได้ติดจานดาวเทียมนะ จะได้ดูบอลข้ามทวีปได้ แต่ได้ข่าวว่าทีมชนะนี่ แค่นั้นก็ดีแล้วจ้ะ”

“ครับ ดีใจที่อย่างน้อยคุณก็รู้ข่าว คิดว่าตั้งแต่แพ้นัดที่แล้วคุณจะเลิกเชียร์ซะแล้ว” บทสนทนาเป็นไปประมาณนี้โดยตลอด ในที่สุดสองสาวก็หันมามองหน้าเควินซึ่งตอนนี้กำลังละเลียดกาแฟตรงหน้าอย่างมีความสุข

“มีอะไรกัน” เควินมองหน้าสองสาวด้วยความสงสัย “เหมือนมีเครื่องหมายปรัศนีอยู่บนหน้าพวกคุณเลย”

“ในฐานะที่คุณมีธุรกิจอยู่ในลอนดอน ถามหน่อยเถอะว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน” เอมี่ถาม

“ก็ฟุตบอลไง ซอคเก้อร์น่ะ รู้จักไหม ไม่ใช่แบบเอ็นเอฟแอลนะ แบบฟีฟ่าน่ะ” เควินพยายามหาชื่อที่ใกล้เคียงกับความหมายของฟุตบอลในอังกฤษให้มากที่สุด เพราะสองสาวเป็นคนอเมริกาที่รู้จักแต่อเมริกันฟุตบอล

“ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ช่างเถอะ ว่าแต่แล้วรู้จักนายคนนี้ไหม” เจนถาม

“อันนี้ไม่รู้แฮะ ผมก็ไม่ได้เชียร์บอล ไม่ได้อยู่อังกฤษนี่ เฮลโล ผมก็อยู่อเมริกานะ อยู่กับพวกคุณนั่นแหละ ถามอะไรกันนี่”

“ก็เห็นมีบ้านที่นี่ พ่อแม่ก็อยู่นี่ นายนี่ไม่คิดจะซึมซับความเป็นอังกฤษเข้าสมองหน่อยเหรอ” เอมี่ถามขึ้น

“ก็รถไง ผมก็ใช้รถยุโรปนะ”

ในที่สุดบทสนทนาก็จบลงแค่ตรงนี้ เมื่อทั้งเอมี่และเจนไม่ได้รับความรู้เกี่ยวพ่อหนุ่มจีคิวเพิ่มเติมจากเควิน พวกเธอจึงมุ่งความสนใจไปที่การนั่งสังเกตเขาด้วยตัวเองแทน

อเล็กเซ่ นั่งอยู่บนสตูลตรงเคาท์เตอร์ที่เดิม และยังคุยกับเจ้าของร้าน เจนมองเขาคุยเพลินจึงไม่ทันระวังตัวเมื่อเขาหันกลับมามองทางหน้าร้านซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องเห็นเธอจ้องเขาอยู่ เจนรู้สึกถึงความร้อนวาบผ่าวผ่านแก้มของเธอ เมื่อเธอหันกลับและเสไปมองกระถางต้นไม้ข้างตัวแทน ทั้งเอมี่และเควินกำลังคุยกันถึงเรื่องร้านที่น่าจะไปซื้ออุปกรณ์ทำครัว จึงไม่ทันสังเกตว่าเจนกำลังอายม้วนและทำท่าเหมือนอยากจะหายตัวไปเหมือนโฟรโดสวมแหวนในลอร์ดออฟเดอะริงส์
อเล็กเซ่มองเห็นเจน และเขาจำได้ว่าเธอคือหนึ่งในสองสาวของน้องชายเขา ไม่ใช่สิ น้องชายเขาไม่มีสองสาวเป็นของตัวเองหรอก ถ้าสองชายก็ไม่แน่ แต่เขาจำชื่อเธอไม่ได้ แต่หน้าตานั้นเขาจำได้แน่จะมีผู้หญิงอังกฤษที่ไหนหน้าตาดีได้ขนาดนี้ล่ะ มีแต่ผู้หญิงอเมริกันเท่านั้นที่จะหน้าตาแบบนี้ ผมสีน้ำตาลเข้มไล่เรี่ยหน้าผาผ่านคิ้วโก่งได้รูปรับกับดวงตากลมโตสีน้ำตาล โหนกแก้มและจมูกโด่งเป็นสันเข้ากับรูปหน้าไข่ และปากกว้าง เธอดูเหมือนจูเลีย โรเบิร์ตที่มีเค้าโครงหน้าที่สวยกว่า น่าสนใจกว่าและแน่นอน...สวยกว่า  และตอนนี้เธอกำลังแก้มแดงปลั่งเหมือนมะเขือเทศผลงาม เขาบอกตัวเองให้เลิกมองเธอ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมอง เขาแน่ใจตัวเองเลยว่าเขานั่นแหละคือสาเหตุที่เธอหน้าแดง ถ้าเมื่อคืนเขาไม่อารมณ์เสียกับข่าวที่ได้รับจากแอนนาละก็ เขาคงไม่ทำตัวเสียมารยาทกับสาวสวยคนนี้เป็นแน่

เจนกำลังจะบ้า เธอกำลังจะระเบิด ผู้ชายคนนี้มองเธออย่างไม่มีวางตาเลย และเธอก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนเธอก็อยากให้เขามอง และหากเธอไม่ออกจากร้านไปตอนนี้เธอจะต้องระเบิดหัวเราะและเดินเข้าไปบอกเขาตรงๆ ว่าเธออยากจะออกจากร้านไปพร้อมกับเขาเดี๋ยวนี้ ซึ่งมันต้องเป็นเรื่องน่าอายมากๆ ให้ตายสิ เมื่อไหร่เขาจะเลิกมองเธอนะ

“เอมี่ ฉันต้องไปแล้ว” เจนพูดเบาๆ ขณะสะกิดเอมี่ ก่อนที่เธอจะก้าวฉับๆ ออกจากร้านอย่างกับพายุ และเกือบจะชนกระถางต้นไม้น่ารักๆ ที่ตั้งอยู่หน้าร้านแตกเสียแล้ว

“เฮ้ เจน เฮ้” เอมี่ร้องตามไปขณะที่เก้ๆ กังๆ จะลุกตามเช่นเดียวกับเควินที่วิ่งพรวดตามออกไปแล้ว เพราะเขาใส่รองเท้าวิ่ง ในขณะที่เอมี่ใส่ส้นสูง “เจนเป็นอะไรไปวะ” เอมี่คิดในใจขณะที่วิ่งก๊อกแก๊กๆ เหมือนจะล้มตามไปแบบไม่มีหลัก

อเล็กเซ่มองดูสองสาวหนึ่งชายที่พากันออกจากร้านไปราวกับพายุอย่างขำๆ เชื่อได้เลยว่าฝ่ายชายคงเป็นแฟนหรืออะไรสักอย่างกับเธอ ส่วนอีกสาวหนึ่งซึ่งก็สวยไม่แพ้กันคงเป็นเพื่อน “ดูโต๊ะนั้นสิ ทำร้านฉันเกือบพังเลยนะ” ซูสบ่นอยู่ข้างๆ เขา ในขณะที่อเล็กเซ่ลุกจากโต๊ะและเดินอย่างสบายๆ ออกจากร้าน และมุ่งหน้าไปยังฝั่งตรงข้ามกับคนกลุ่มนั้น ทั้งที่ในใจเขายังมองเห็นแต่หน้าแดงๆ ของผู้หญิงอเมริกันคนนั้นอยู่

 

:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+++:+++:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+::+:+:+

<<<back

 

ตอนที่ 1     ตอนที่ 2