pue's tales ; tales from pue
untitle
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

 
 
ตอนที่ 1

ในวันหนึ่งกลางเดือนมีนาคม ถนนสายนั้นทอดตัวอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายในกรุงลอนดอน บริเวณนั้นเป็นชานเมืองทางด้านเหนือ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่บดบังตัวตึกที่มีสถาปัตยกรรมงดงามสูงสามถึงสี่ชั้นอันเป็นที่พักอาศัยของผู้คนที่ส่วนใหญ่อพยพมาจากประเทศออสเตรเลีย แอฟริกาใต้หรือนิวซีแลนด์ ผู้ทำงานตัวเป็นเกลียว หางเป็นน็อต พวกเขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองด้วยรถไฟใต้ดิน ในขณะที่บางคนเลือกที่จะเดินหรือขี่จักรยานไปทำงานบนถนนสายถัดไป อันเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญๆ อย่างพิพิธภัณฑ์  โรงเรียน วิทยาลัย ห้องสมุด หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ติดๆ กัน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เงียบสงบในยามกลางวัน จนเหมือนกับมันไม่ได้ตั้งอยู่ในมหานครหลวงของเกาะบริเตนกระนั้น

 อย่างไรก็ตามในความคิดของสองสาว เจนนิเฟอร์ กอร์แฮมและเอมิเลีย ซานดิอาโนส จากลอสแองเจลลิส สหรัฐอเมริกา เมืองที่มีแต่ความบันเทิงและพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มีหน้ามีตาในสังคม ถนนสายนี้เงียบเชียบเกินไป

 “เจน เธอว่าชุดนี้เป็นไง” เอมี่ถามขณะหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ (ก็ใหญ่ที่สุดเท่าที่อพาร์ทเมนต์ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่นเหมาจ่ายรายเดือนจะมีให้ได้น่ะ)

 เจนซึ่งอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมคอเต่าสีแดงสดเข้ากับผิวขาวใสของเธออย่างเหมาะเจาะตัดกับกระโปรงผ้ามันสีดำดูเฉี่ยว เหมือนจะหลุดออกมาจากนิตยสารคอสโมโพลิแทน เงยหน้าจากกองการ์ดและจดหมายที่ครอบครัวและเพื่อนๆ ที่อเมริกาติดต่อมาหันไปมองเอมี่ ผิวของเอมี่เป็นสีแทนธรรมชาติ เพราะเชื้อสายอเมริกาใต้ของเธอ เมื่อมองดูเธอในชุดแซคผ้ามันแขนกุดสีเนื้อเข้ารูป ด้วยดีไซน์ของกุชชี่แล้ว เอมี่ก็ดูไม่ต่างจากนางแบบชั้นนำเลย

 “ชั้นว่าเธอดูดีแล้วล่ะ เอมี่ ชุดนี้มันเข้าได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับกระเป๋าใบใหม่ของเธอทีเดียว” ว่าแล้วเจนก็เดินไปหยิบกระเป๋าสีดำที่ถูกทิ้งไว้ระเกะระกะบนโซฟา ตั้งแต่เมื่อคืนที่ทั้งสองไปเดินชอปปิ้งบนถนออกซ์ฟอร์ด สตรีทกันจนขาแทบขวิด “เอ้านี่” เจนโยนกระเป๋าให้เอมี่
 เอมี่รับกระเป๋ามาอย่างเบื่อๆ ก่อนจะบ่นขึ้นมาว่า “เราไปหาที่พักในเมืองกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ เนี่ยกว่าจะเดินทางเข้าไป ก็หมดเวลาไปเปล่าๆ ตั้งเกือบ 20 นาที แล้วไอ้ร้านอาหารแถวนี้มันก็นะ… ไม่อยากจะพูด” แม้ปากจะบอกว่าไม่อยากจะพูดแต่เอมี่ก็พูดพล่ามต่อไปได้เกี่ยวกับเรื่องความเป็นอยู่และอาหารการกินในบริเวณถนนสายนั้นว่ามันเงียบเกินไปและไกลความเจริญเกินกว่าที่เธอจะรับได้ หากเธอต้องอยู่ที่นี่อีกเดือนหนึ่งก็ขอให้ได้อยู่ในถิ่นที่สะดวกสบายและเจริญกว่านี้ เจนได้แต่ส่ายหัวเพราะรู้ดีว่าเอมี่เป็นอย่างนี้เสมอ เธอเป็นเจ้าหญิงเมื่ออยู่ที่บ้านในอเมริกา เธอมีทุกอย่างและทำได้ทุกอย่าง แม้แต่ในฝรั่งเศส แต่ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเสมอไป เจนมองเอมี่ในขณะที่ปล่อยให้เสียงของเอมี่ไหลทะลุหูซ้ายทะลุหูขวาออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพูดขัดขึ้นหลังจากฟังเอมี่บ่นมาได้ประมาณสิบนาที

 “เอมี่ ชั้นก็เข้าใจว่ามันไกลอ่ะนะ แต่ค่าครองชีพที่นี่มันแพงมาก เธอก็รู้ ถ้าให้ไปเช่าที่อยู่แถวกลางเมืองอย่างย่านไฮด์ ปาร์ค ติดผับติดบาร์หรูๆ อย่างนั้น ชั้นว่าเราจะอดตายกันเสียก่อนจะได้เที่ยว แม้เราจะไม่ไปเมืองอื่นเลยก็ตาม นี่ก็เพิ่งวันที่ 3 เอง ใครจะไปรู้ย่านนี้อาจมีอะไรดีๆ ก็ได้ เรายังไม่ได้ไปเดินสำรวจกันเลยนี่”

 เอมี่ชะงัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิด “นี่ชั้นมัวแต่พล่ามอะไรไร้สาระอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย เอาเถอะจะทนต่ออีกหน่อยละกัน หวังว่าคืนนี้คงมีอะไรดีดีบ้างหรอก เจ้าผับนี่เนี่ย ชื่ออะไรนะ อีตาฟรังโก้มันแนะนำไว้ จะดีจริง หรูจริงอย่างว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้” ฟรังโก้เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยและได้มาเที่ยวลอนดอนเมื่อตอนปีใหม่ก่อนจะกลับไปเล่าให้สองสาวฟังอย่างเร้าใจว่า

 “จะว่าไงดีล่ะตัว แบบว่ามันเป็นผับที่ตกแต่งแบบสเปนน่ะ สไตล์เดิ้นๆ เลยล่ะ เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว โหยคนงี้เต็มพรืด อกชั้นจะแตก มีแต่หนุ่มๆ ล่ำบึ้ก แต่ชั้นว่า 60 เปอร์เซนต์เป็นสเปกชั้น ยังไงถ้าเธอไม่รังเกียจคนอย่างชั้น เธอก็คงจะไม่รังเกียจผับนี้หรอก” ฟรังโก้ตบอกและทำมือกรีดกรายไปมาขณะบรรยายถึงผับนี้ เท่าที่เห็นก็คือ คนอย่างชั้นที่ฟรังโก้หมายถึงก็คือคนที่เป็นเกย์หรือกระเทยนั่นเอง 

 “รู้สึกว่าจะชื่อ Alas Salsa นะ ฟังชื่อก็น่าจะเป็นผับแบบแดนซ์แหละ คงได้มันส์กันล่ะคืนนี้…ลิปสติกชั้นอยู่ไหนนะ” เจนตอบขณะที่หันกลับไปหยิบกระเป๋าหนังแท้สีดำที่ก่อนหน้านี้ก็วางตะแคงๆ จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่อยู่ข้างกระเป๋าของเอมี่ใบที่เธอเพิ่งจะโยนให้เพื่อนสาวเมื่อครู่ที่ผ่านมา มาค้นเสียงดังขลุกขลักๆ เหมือนข้างในเต็มไปด้วยก้อนหินที่กระทบกันไปมา

 เอมี่เหลือบตาไปมองนาฬิกาสีเงินรูปทรงเหมือนพลาสติกหลอมละลายขนาดย่อมที่ติดไว้บนผนังห้องแบบสตูดิโอ เอมี่มองไปรอบๆ ห้องซึ่งตกแต่งเหมือนจะเป็นสถานที่ทำงานของพวกครีเอทีฟมากกว่าจะเป็นอพาร์ทเมนต์ที่ใช้พักอาศัย ทั้งผนังห้องนั่งเล่นที่ทาสีเหลือง (ก็สีที่เขาบอกว่าทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และตื่นตัวนั่นแหละ) พื้นเป็นกระเบื้องสีขาวตัดกับสีของโซฟาตัวยาวหนังแท้สีดำมันที่มีขาโซฟาเป็นสแตนเลส โต๊ะกลางเป็นกระจก ขาสแตนเลสเข้าชุดกับโซฟา  เคาท์เตอร์ห้องครัวสีเขียวอ่อนมีลายพาดเป็นสีเหลือง ไม่ต้องพูดถึงโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่บัดนี้เป็นที่จับจองของแล็บท็อปสองตัว ที่เปิดอ้าค้างเอาไว้ กับเครื่องปาล์มเล็กๆ ที่มีปากกาวางทิ้งไว้ข้างๆ อย่างไม่เป็นระเบียบ เก้าอี้โต๊ะทำงานเป็นพลาสติกสีดำที่ออกแบบมาให้ทันสมัย จนเอมี่อดสงสัยไม่ได้ว่าในการตกแต่งครั้งแรก เจ้าของสถานที่คงหวังจะให้ที่นี่เป็นที่ทำงานของพวกครีเอทีฟหัวสมัยใหม่มากกว่าเป็นห้องพักของสองสาวสติแตก จบเศรษฐศาสตร์ แต่ไม่ทำการทำงานและหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องปาร์ตี้และการท่องเที่ยว

 “ที่นี่ไม่เหมาะกับพวกเราเลยนะเนี่ย ชั้นว่าคนเช่าก่อนหน้านี้ต้องเป็นครีเอทีฟแหง..” เอมี่พูดขึ้นหลังจากมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่นอกจากสีเหลือง เขียว ดำ ขาวแล้ว ตู้เก็บของ ชั้นวางรองเท้ายังมีสีที่แตกต่างกันออกไปอย่างมาก ทั้งสีแดงสีม่วง จนอดคิดไม่ได้ว่าเธอทั้งสองลงเอยมาเช่าที่นี่ได้ยังไง ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาอีกครั้ง “เพิ่งจะ 6 โมงเอง เราจะไปกันเลยดีเหรอเนี่ย ไม่รู้อะไรดลใจให้ต้องรีบแต่งตัวกันเร็วขนาดนี้นะ” เอมี่บ่นกระปอดกระแปดหลังจากเห็นว่าเข็มชั่วโมงยังไม่ได้กระดิกเข้าใกล้เวลาที่เหมาะควรจะออกจากที่พัก เพราะรู้ดีว่าถึงแม้สองสาวจะแวะไปกินข้าวในร้านหรูเริ่ดกลางกรุงลอนดอนก่อน แต่ผับที่จะไปนั้นก็คงยังไม่คึกคักพอจะทำให้ทั้งสองกระชุ่มกระชวยได้เมื่อไปถึง

 “เรื่องห้องนี่ เธอจำไม่ได้เหรอว่านายฟรังโก้ตัวดีเป็นคนจัดการน่ะ มันบอกว่าแฟนเก่าเคยเช่าอยู่ไง” เจนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ในขณะที่เอมี่แทบจะทำกระปุกแป้งที่ถืออยู่ตกจากมือ

 “บ้าจริงเลย แล้วนี่เตียงที่เรานอนกันมาตั้งสองสามคืนนี่มิได้ถูกเจ้าฟรังโก้ตัวดีกับแฟนหนุ่มของมันขย่มเสียเละแล้วเหรอ โอ้ย..จะติดเชื้ออะไรไหมเนี่ย” เอมี่ทำหน้าขยะแขยงและทำท่ารังเกียจอย่างที่สุด

 “แม่บ้านคงซักไปบ้างแล้วแหละ…” เจนตอบน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจนัก ก่อนจะยิ้มอย่างเคลือบแคลงใจให้แก่เอมี่ “เราไปกันเถอะ ฉันหิวจะแย่แล้ว” เจนพูดขณะเดินไปที่ตู้วางรองเท้าสีม่วงบนกระเบื้องสีดำขัดเงาที่โถงทางเข้า ทำให้เอมี่ต้องก้าวตามอย่างรีบๆ ไปด้วย

 เอมี่ขับรถพอร์ชสีแดงคันงามที่เช่ามาในราคาถูกเหมือนได้เปล่าจากร้านเช่าของเควิน แฮนโนเวอร์ ลูกชายของเจ้าของกิจการเช่ารถทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเธอจากโรงเรียนประจำที่เธอเคยอยู่

 “เควินนี่เจ๋งจริงๆ เลยนะ เจน น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่ที่นี่ตอนนี้ ฉันอยากให้เขาได้เจอเธอจริงๆ” เอมี่กล่าวถึงเควินอย่างปลาบปลื้ม น้อยครั้งนักที่เอมี่จะชื่นชมผู้ชายคนใดอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้ ซึ่งนั่นก็แสดงว่าเควินนี่น่าจะเป็นสุดยอดชายในฝันของเอมี่แน่ๆ

 “ทำไมล่ะ ฉันว่าเขาเคยเป็นแฟนเก่าเธอไม่ใช่เหรอ” เจนถามขณะมองไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถราแน่นขนัด

 “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เราไม่ได้จริงจังกันหรอก ขนาดคบกันอยู่ฉันก็คบกับคนอื่นไปด้วย เควินก็เหมือนกัน เราไม่ได้คิดอะไรจริงจังหรอก แค่ครอบครัวเรารู้จักกัน และฉันดันอยู่โรงเรียนเดียวกับเขาเท่านั้น แต่ว่านะ แค่นั้นก็สุดยอดแล้ว ตลอดเวลาที่รู้จักกัน เควินนี่เป็นที่สุดแห่งสุภาพบุรุษเชียวล่ะ ถึงเขาจะห่าม เถื่อน ดิบ หรืออะไรก็ตามที่ยัยลอน่าพูดถึงตอนที่เลิกคบกับเขา ฉันก็ไม่แคร์หรอก” เอมี่อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนไปถึงลอน่า วินซ์ แฟนใหม่ของเควิน (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแฟนเก่าไปแล้ว) ที่ไม่ว่าจะพบกันตอนไหน เธอก็เอาแต่พูดถึงข้อเสียของเควิน จนเอมี่อดคิดไม่ได้ว่านั่นเป็นแผนอย่างหนึ่งที่จะกันผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่ให้ยุ่งกับเควิน แฟน(เก่า)ของเธอ เพราะเธออยากจะได้เควินที่แสนดีไว้เป็นตัวสำรอง ผู้หญิงอะไร ช่างน่ารังเกียจจริงๆ เอมี่คิดอย่างฉุนๆ

 “ฉันว่าเธอกับเควินจะต้องเป็นคู่ที่สมบูรณ์เชียวล่ะ” เอมี่เอ่ยขึ้นลอยๆ

 “อย่าบ้าไปหน่อยเลยเอมี่ ฉันไม่ยอมให้เธอจับคู่ฉันกับใครหรอกนะ..นั่นๆ เอมี่ ชะลอรถได้แล้วเดี๋ยวก็เลยหรอก” เจนตะโกนขึ้นเมื่อเห็นป้ายร้าน ลา ลูน เดอ แซลลี่ อยู่ข้างหน้า  
 ลา ลูน เดอ แซลลี่ เสริฟอาหารฝรั่งเศสสุดหรูแบบฟูลคอร์ส ทำเอาทั้งเอมี่และเจนได้แต่นั่งเป็นเบื้อใบ้เมื่อเห็นอาหารเมน คอร์ส ซึ่งเป็นเนื้อลูกแกะอบไวน์แดงราดซอสเชอรี่ ชิ้นขนาดฝ่ามือไมเคิล จอร์แดน

 “นี่มันบ้าไปแล้ว เจนเธอว่ามันไม่มากไปหน่อยเหรอ อาหารมื้อค่ำสำหรับสองสาวหุ่นนางแบบอย่างเราๆ เนี่ย แค่ซีซาร์สลัดก็แทบจะทำให้ฉันกระอักแล้วนะ ..” เอมี่เอาส้อมเขี่ยซอสเชอรี่ในจานกลมสีขาวที่เนื้อลูกแกะถูกจัดวางและตกแต่งอย่างดี

 “ก็นี่มันฟูลคอร์ส..” เจนเอ่ยเหมือนถูกบังคับและพยายามทำให้เอมี่ รวมถึงตัวเธอเองเชื่อว่าการกินเข้าไปไม่ใช่สิ่งที่มากเกินไปอย่างที่เธอเองก็คิดเหมือนกัน “อย่าทำเป็นไม่เคยกินเลยน่า ที่บ้านเธอก็เสิร์ฟอะไรแบบนี้เป็นอาหารเย็นไม่ใช่เหรอ ที่ฝรั่งเศสก็เหมือนกัน” เจนพูดขณะค่อยๆ บังคับตัวเองให้เริ่มหยิบมีดมาหั่นเนื้อลูกแกะสีขาวฉ่ำซอสตรงหน้า

 “ขอโทษเถอะ..ที่บ้านฉันน่ะ พออีไลซ่าเอามาเสิร์ฟ ฉันก็กินสลัดสองคำ เนื้ออีกนิด ขนมหวานอีกหน่อย พอเป็นพิธี ตอนอยู่ฝรั่งเศส อเลสซานโดรน่ะเป็นพวกมังสวิรัติ ดังนั้นฉันจึงกลายเป็นพวกชีวจิตไปด้วย ไม่ได้กินอะไรเยอะๆ ขนาดนี้มานานแล้ว”

 “เธอก็ค่อยๆ กินสิ จะได้ฆ่าเวลาไปด้วยในตัว และที่สำคัญมันแพงนะจ้ะ อาหารที่นี่น่ะ”

 เอมี่มองอาหารในจาน ก่อนจะมองไปรอบๆ ร้าน “ที่นี่มันแปลกนะ ดูสิ ไม่มีวัยรุ่นหรือวัยอย่างเราๆ เลยน่ะ มีแต่คนแก่ๆ ไหนฟรังโก้บอกว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมความทันสมัยไง” เอมี่กล่าวขึ้นเมื่อมองไปมองมาก็ไม่เห็นใครที่น่าจะมีวัยเท่าๆ พวกเธออย่างที่ฟรังโก้ว่าไว้

 “จะว่าไปฉันก็ไม่รู้หรอก ไม่แน่นะ ฟรังโก้อาจจะจำร้านสลับกับร้านขายฟิชแอนด์ชิพที่ข้างถนนก็ได้นะ จะว่าไปนั่นก็น่าจะดูทันสมัยในสายตาคนอเมริกันอย่างเราๆ หรอก ระหว่างฮอทด็อกกับเนื้อปลาทอดก็เห็นๆ กันอยู่ว่าอันไหนมันน่าจะให้คุณค่าและดูทันสมัยแบบพวกรักษาสุขภาพที่เขาฮิตๆ กันอยู่มากกว่ากัน” เจนว่า

 เมื่อจัดการกับฟูลคอร์สเสร็จ ทั้งเอมี่และเจนก็รู้สึกเหมือนกับจะไม่สามารถเดินออกจากร้านแบบคนปกติได้ “เรารีบไปแดนซ์ออกกำลังให้มันลดหน่อยดีกว่านะ” เอมี่ว่าขณะเดินเอามือลูบท้องเบา เหมือนการคลึงจะทำให้สิ่งที่กินเข้าไปย่อยหมดภายในพริบตา

 ผับ ALAS SALSA นั้นอยู่ห่างจากลา ลูน เดอ แซลลี่ ไปสามบล็อก และถึงแม้นั่นจะเป็นระยะทางที่เดินไปได้ แต่เอมี่ก็ไม่อยากเสี่ยงโดนปล้นรถคันสวย เธอจึงขับรถไป

 “ที่นี่ไม่ต่างกับนิวยอร์คเลยนะ ร้านริมถนนและที่จอดรถหายากอย่างกับงมเข็มในมหาสมุทร คิดไปคิดมาเราก็ไม่น่าจะต้องเช่ารถเลยนะเนี่ย ถ้านั่งรถเมล์มันน่าจะเร็วและถูกกว่านี้ หรือรถไฟใต้ดินก็ได้” เอมี่เปิดฉากบ่นอีกรอบ เจนได้แต่ส่ายหัว เพื่อนของเธอคนนี้บ่นได้ทุกเรื่องตั้งแต่สากกะเบือยังเรือรบ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะเอมี่ทำให้เจนรู้สึกกระตือรือร้นและตื่นตัวได้ทุกเวลา

 “ถึงแล้วๆ เอ๊ะ… เขามีที่จอดรถล่ะ เอมี่ เห็นไหมมีป้ายบอกด้วย” เจนขัดขึ้นในขณะที่เอมี่กำลังจะขับเลยร้านอีกรอบ

 ALAS SALSA เป็นผับขนาดใหญ่จุคนได้ประมาณ 300 คน และตกแต่งแบบอวกาศ อวกาศสำหรับชาวเกย์อ่ะนะ ถ้าจะให้เจาะจงลงไป ก็ลองดูที่ประตูทางเข้าสิ มันเป็นประตูแบบยานอวกาศขององค์การนาซ่าที่ออกแบบมาให้มีสีม่วงจัดจ้านเสริมแต่งเข้าไปด้วย เมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปก็จะพบกับเคาท์เตอร์วงกลมแบบโปร่งมีดีเจที่ใส่เสื้อผ้าของเวอร์ซาเช่สีฉูดฉาด กางเกงหนัง ผมสีม่วงเจิดจริส แม้จะอยู่ในความมืดที่ดูวุ่นวายเพราะสปอตไลท์ที่สาดไปมาเหมือนสปอตไลท์ตามท่าเรือที่ตำรวจใช้หาศพคนลอยน้ำหรือนักโทษหนีคุกอะไรเทือกนั้น ผิดเสียแต่ว่าเจ้าสปอตไลท์แสงวอบแวมพวกนี้ไม่ได้กำลังหาอะไร นอกจากการให้แสงสว่างพอเป็นพิธีแก่ชาวเกย์หัวดำ หัวแดง หัวบลอนด์ที่กำลังวาดลีลาชดช้อยไม่แพ้ผู้หญิงอยู่กลางฟลอร์ขนาดใหญ่กลางผับที่มีความสูง 3 ชั้น

 ถ้าเอมี่และเจนไม่มีเพื่อนที่ดีอย่างฟรังโก้ สองสาวก็คงต้องหลงอยู่ที่ชั้นหนึ่งท่ามกลางพวกประเภทสามทั้งหลายอย่างแน่นอน โชคดีที่ฟรังโก้บอกที่ทางที่ถูกควรให้แก่พวกเธอแล้ว ที่บริเวณชั้นสองเป็นบาร์เล็กๆ ที่ให้แสงสว่างดีกว่าชั้นล่างหน่อย เพราะมันไม่ใช่สปอตไลท์ แต่เป็นแสงสีแดง สีเหลือง สีม่วง(ยังไงก็เป็นบาร์เกย์อยู่นะ) จากโคมไฟรูปร่างเหมือนยูเอฟโอที่ติดอยู่บนผนังสีดำ พื้นเป็นสีเทาควันบุหรี่ เอมี่เมียงมองแล้วก็พูดสิ่งที่คิดออกมาให้เจนฟังว่า “ฉันว่าคนออกแบบที่นี่กำลังจะบอกเราเป็นนัยๆ ว่าพวกเรามาจากนอกโลกน่ะ ส่วนพวกข้างล่างนั่นเป็นมนุษย์ปกติ ดูสิข้างล่างเป็นยานอวกาศแบบสตาร์ เทรค หรืออพอลโล 13 แต่ข้างบนนี่มันเหมือนยานของเอเลี่ยนเลย” เอมี่เอื้อมมือไปจับโครงเหล็กสีขาวสะท้อนแสงที่มีรูปร่างของเอเลี่ยนในเรื่องสปีชี่ส์อย่างเหมือนกับจะยืนยันสิ่งที่เธอคิด

 “เอาน่า ฟรังโก้บอกแล้วว่าถ้าเราไม่รังเกียจเขา เราก็จะชอบที่นี่ และทีนี่ก็ใช่ฟรังโก้เลยล่ะ” เจนเลือกที่นั่งติดระเบียงที่มองเห็นข้างล่างได้ชัด โชคดีที่เธอสองคนไม่ใช่พวกประเภทสาม ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ได้ที่นั่งดีดีข้างบนอย่างนี้ ก็ดูที่ข้างล่างสิ โต๊ะเต็มแบบไม่ต้องนั่งกันเลยล่ะ ขนาดว่านี่มันเพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น 

 หลังจากการนั่งฟังเพลงอย่างอิ่มหนำและละเลียดเครื่องดื่มอัลกอฮอล์เข้าไปจนมึนได้ที่ ทั้งสองคนก็เริ่มยักย้ายถ่ายเทตัวเองลงไปยังฟลอร์ข้างล่าง

 “นี่มันสุดยอดเลยล่ะ” เอมี่พูดอย่างอู้อี้ ในขณะที่เต้นลงบันไดไปอย่างเมาๆ เจนเดินตามลงไป สังเกตเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้เมาอย่างเอมี่ แต่ก็ไม่เรียกว่าปกตินักหรอก เมื่อทั้งคู่ลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย เอมี่กำลังโอบกอดเจนแน่นและหัวเราะอย่างเริงร่า เสียงเพลงแดนซ์กระหน่ำเต็มสองหู ทั้งเจนและเอมี่ก็ก้าวเดินอย่างไม่มั่นคงนัก เพราะเอมี่เมาและเกาะเจนไว้ ส่วนเจนก็ต้องรับน้ำหนักของเอมี่ไว้ ทำให้หากเป็นคนนอกมอง (ซึ่งตรงนั้นจะมีใครนอกจากพวกเกย์) ก็จะมองว่าทั้งคู่เป็นเลสเบี้ยนอย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่ใช่ผู้หญิงแค่สองคนในผับหรอก เพราะที่นี่ต้อนรับทุกเพศทุกวัยแต่ส่วนใหญ่ (ใหญ่มากๆ) จะเป็นเพศที่สาม ซึ่งรวมพวกเลสเบี้ยนเอาไว้ด้วย

 หลังจากการเต้นรำและการแวะเวียนไปเอาเครื่องดื่มที่บาร์อยู่เกือบสิบรอบ ทั้งคู่ก็ดูไม่ต่างไปจากเลสเบี้ยนเอาจริงๆ เพราะเอมี่นั้นเกาะเจนแน่นและเอาแต่หัวเราะ ทั้งๆ ที่ในมือมีแก้วมาการิต้าที่หมดแล้วแกว่งไปมาตามจังหวะการเต้นของตน

 “เธอสองคนกำลังสนุกใหญ่เลยล่ะสิ” เสียงห้าวๆ และออกจะร่าเริงเกินเสียงผู้ชายปกติไปหน่อยแทรกผ่านเสียงเพลงอึกทึกเข้ามาในโสตประสาทของเจน แน่นอนไม่ต้องพูดถึงเอมี่เลย เธอไม่รับรู้อะไรแล้วนอกจากการหัวเราะ

 “ใช่เลย เรากำลังสนุกมาก” เจนตอบไป ในขณะหันหน้าไปมองชายที่อยู่ตรงหน้า ‘ผู้ชายเหรอ ไม่ใช่หรอก’

 ผมของผู้ชาย (โดยรูปร่าง) ตรงหน้าเป็นสีน้ำตาลเหลือบบลอนด์เงางาม ยาวทิ้งตัวคลอเคลียไปกับบ่ากว้างและคิ้วได้รูปรับกับดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อนที่หากไฟสว่างกว่านี้และมองในมุมอื่นอาจจะเป็นสีเขียวได้ก็กำลังวาววับอยู่ภายใต้แว่นตากรอบกระ จมูกโด่งกำลังดี และปากหยักกว้างได้รูปก็กำลังยิ้มร่า บนโครงหน้าเหลี่ยมและรอยหยักบุ๋มที่คาง ‘ฉันแน่ใจเลยว่าหากคนนี้เป็นผู้ชายเต็มตัว เขาจะต้องดึงดูดผู้หญิงอย่างมากแน่ๆ’ เจนคิด ‘ขนาดฟรังโก้ ผู้มีผมสีทองและหยิกหยองเหมือนโรนัลด์ แมคโดนัลด์ ยังมีแฟนเยอะเลย แล้วผู้ชายคนนี้จะไม่ได้ยังไง…ฉันเสียดายความสูงและความหล่อของเขาเหลือเกิน’ เจนคิดต่อไปอย่างเงียบๆ 

 “ฟังจากสำเนียง คุณคงไม่ใช่คนอังกฤษแน่ๆ เลย” เขาพูดเหมือนถามในขณะที่ก็โยกย้ายส่ายสะโพกอยู่ข้างๆ เธอ เอมี่ซึ่งแม้จะดูหลุดโลกไปไกลแล้วก็กำลังลากตัวเองกลับมาสู่ความจริง เมื่อได้ยินคำถามจึงตอบไปอย่างอ้อแอ้ “ม่ายช่ายหรอก ราวไม่ช่ายคนอังกฤษ เราเป็นอเมริกาน ราวกินฮอทด็อกด้วย ฮ่าๆ แต่เนื้อปลาที่นี่อาหย่อยน้า”

 เจนมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างอายๆ “เอมี่เมาน่ะค่ะ” เธอบอกเขาเหมือนจะแก้หน้าแทนเพื่อน

 “ใครไม่เมาบ้างล่ะ ที่นี่น่ะ และผมว่าคุณก็คงเมาด้วยแน่ๆ ผับนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคนอย่างคุณนะครับ หรือถ้าใช่เขาก็มีที่สำหรับพวกคุณโดยเฉพาะ ข้างบนนู่น” เขาชี้มือขึ้นไปชั้นสอง

 “เราไปมาแล้วค่ะ แต่ว่าเราอยากดิ้นน่ะ  ที่นี่คงไม่เหยียดเพศนะคะ” เจนตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้นเล็กน้อย ใครจะไปคาดคิดว่าผู้ชาย อืม เกย์น่ะจะเป็นพวกเหยียดเพศอื่นๆ ด้วย

 “โอ๊ะ ผมไม่ได้จะไล่คุณหรอก เพียงแต่ช่วยเสริมความเข้าใจเท่านั้น ผมคิดว่าคุณหลงเข้ามาเสียอีก ก็คุณไม่ใช่คนอังกฤษนี่” เขาขอโทษขอโพยก่อนจะหันกลับไปมองทางด้านหลัง เหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ก่อนที่เจนจะเห็นว่าในมือข้างซ้ายของเขากำลังจับมือของใครอีกคนอยู่

 “นี่ โรแลนด์ แฟนผมเอง” ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างหลังเขาก้าวออกมาข้างหน้า ก่อนจะยิ้มให้อย่างเปิดเผย “ผมตามหาเขาตั้งนาน เนี่ย ถ้ารู้ว่าแอบมาจ๊ะจ๋ากับผู้หญิงอีก เธอตายแน่ คริส” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปพูดกับหนุ่มคนแรก เจนได้แต่ยืนงง ด้วยไม่คิดว่าผู้ชายตรงหน้าจะถึงขั้นพาแฟน (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้ชาย) มาแนะนำให้เธอรู้จักก่อนที่เธอจะทันรู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ
 
 “เอ่อ สวัสดีค่ะ ฉันเจนนิเฟอร์ และนี่ก็..” เจนหันไปหาเอมี่ ซึ่งตอนนี้หยุดเต้นแล้วและกำลังทำท่ากระอักกระอ่วนอยู่ข้างๆ “เอมี่ค่ะ” เอมี่ยื่นมือมาจับมือตามมารยาทก่อนจะกระซิบข้างหูเจน “ฉันว่าฉันอยากไปเอาออกน่ะ” ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งเจนเอาไว้กับชายหนุ่มสองคน

 “ผมว่าคุณตามเธอไปดีกว่านะ ผมไม่อยากให้ผมสีดำสวยของเธอต้องเปรอะเปื้อน…เอ่อ ..ของเธอเองน่ะ” คริสว่า และเจนก็เห็นด้วยจึงขอตัวเดินตามเอมี่ออกมา

 เมื่อมาถึงห้องน้ำบนชั้นสอง ที่ทั้งสองคนจะไม่ต้องเจอกับสภาพกระอักกระอ่วนในห้องน้ำชั้นหนึ่งที่มักแปลสภาพไปเป็นรังรักขนาดย่อมของชาวเกย์ เอมี่ก็เริ่มบ่น “นี่มันบ้าชัดๆ เลย ไวน์ที่กินเมื่อหัวค่ำกับมาการิต้าเมื่อกี้มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกทุบหัวแบบไม่เจ็บน่ะ แต่มึนตึ้บเลยล่ะ” เอมี่ล้างหน้าทำให้มาสคาร่าสีดำเริ่มไหลลงมา “โอ้ย ไม่นะ ฉันน่าจะซื้อแบบกันน้ำ ก็ฉันอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออกนี่ อีตาอเลสซานโดรก็ไม่ได้ช่วยเล้ย..” เอมี่บ่นเมื่อเห็นมาสคาร่าเริ่มละลายและทำให้หน้าเธอกลายสภาพเหมือนคนบ้าผมยาวที่ร้องเพลงร็อคในชุดกระโปรงขาดๆ สีดำเข้ากับการแต่งหน้าแบบซาตาน

 “เธอนี่ขี้บ่นไม่เลิกจริงๆ เอมี่ ฉันขอบอกเลย” เจนเริ่มออกอาการฉุนเล็กๆ “เอาเถอะ มานี่ฉันแต่งหน้าให้ใหม่ แล้วก็คืนนี้ไม่ต้องกินแล้วนะ ถึงเธอจะบ้าปาร์ตี้แค่ไหนก็น่าจะรู้ตัวดีว่าเธอไม่ใช่พวกคอแข็ง” เจนลากมือเอมี่มายืนหน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องน้ำ “แต่ยังแดนซ์ต่อได้ใช่ป่ะ” เอมี่ถามอย่างไม่แน่ใจและติดจะมีน้ำเสียงอ้อนๆ เล็กน้อย

 “แน่นอน ก็เรามาเพื่อการณ์นั้นนี่ และหนุ่มสองคนข้างล่างนั่นก็น่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีได้ด้วย เราจะได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มชั้นหนึ่งนั่นได้แบบไม่แปลกแยกไงล่ะ” เจนบอก เธอเองรู้ดีว่าผู้หญิงสองคนในวงล้อมเกย์น่ะ ไม่อันตรายหรอก ถ้าจะถามว่าแปลกไหม มันก็ไม่แปลกด้วย แต่การที่เราจะรู้จักใครสักคนให้มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนก็เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่ เหมือนการที่ได้เปลี่ยนจากการอยู่แบบแยกเผ่าเข้าไปรวมเผ่าเดียวกันด้วยการช่วยเหลือของผู้อยู่มาก่อน ในเรียลลิตี้เกมส์อย่าง เซอร์ไวเวอร์นั่นไง

 “สองหนุ่มนั่นเป็น เอ่อ คู่เกย์ใช่ไหม เหมือนอย่างเจ้าฟรังโก้กับแฟนเก่าน่ะ” เอมี่ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจหรือไม่ก็ไม่อยากจะแน่ใจ ด้วยความที่พ่อหนุ่มนั่นมีหน้าตาเป็นที่สะดุดใจอย่างแรงจนไม่อยากจะเสียไปให้เพศอื่น

 “ใช่ และฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไร ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ที่นี่คงไม่มีผู้ชายแท้ๆ เข้ามาหรอก อย่างเควินของเธอน่ะ คงจะเกลียดที่นี่เป็นบ้าเลยล่ะ พวกผู้ชายน่ะเป็นโรคกลัวเกย์ขึ้นสมอง เหมือนพ่อฉันไง ยิ่งเดี๋ยวนี้หาของแท้ยากอยู่ เวลาฉันพาผู้ชายเข้าบ้านทีไรเป็นต้องถามหรือมองด้วยสายตาหวาดระแวงทุกที” เจนพูดอย่างขำๆ สำหรับเธอนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับโธมัส พี่ชายของเธอนี่ยิ่งแล้วใหญ่ พ่อของเธอแทบจะตรวจสอบเพื่อนทุกคนของพี่เธอเชียวล่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าพี่เธอไม่ได้เป็นเพศที่สาม และเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งโธมัสแต่งงานกับเซซิเลียตอนอายุ 27 และเป็นพ่อของลูกสาว 2 คนนั่นแหละ พ่อเธอถึงยอมแพ้ พ่อเธอนี่ช่างอคติจริงๆ

 เมื่อทั้งสองออกมาจากห้องน้ำนั้น ไม่ว่าจะมองไปชั้นไหนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเต็มไปหมดยิ่งกว่าในตอนแรกเสียอีก “ฉันว่าที่นั่งเราคงจากเราไปแล้วล่ะ” เจนบอกอยากเสียดาย เมื่อหันไปมองเห็นโต๊ะที่ตัวเองเคยนั่งเมื่อสองสามชั่วโมงที่แล้วถูกจับจองด้วยสาวผมบลอนด์กับเพื่อนอีกสองคน ก่อนจะเดินลงไปยังชั้นหนึ่งมองหาคู่ของคริสกับโรแลนด์ ซึ่งกำลังดิ้นกันระเบิดอยู่กลางฟลอร์

 “อ้าว พวกคุณกลับมาแล้ว..” คริสทักขึ้น เมื่อมองเห็นเอมี่และเจนเดินใกล้เข้ามา “คุณรู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” เขาหันมาถามเอมี่

 “แน่นอนค่ะ ขอบคุณมาก” ปากบางได้รูปที่ทาลิปสติกสีแดงสดของเอมี่แย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวซี่เล็กๆ ที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบด้วยเหล็กดัดฟันถึง 3 ปี ซึ่งทำให้รอยยิ้มครั้งนี้ดูสวยและน่ารักสมกับการทนทรมานจริงๆ

 “เดี๋ยวผมต้องกลับแล้วล่ะ โรแลนด์ก็เหมือนกัน เราต้องทำงานแต่เช้าน่ะครับ แล้วก็ผมไม่มีรถ โรแลนด์น่ะอยู่อพาร์ทเมนต์ฝั่งตรงข้ามนี่เอง แต่ผมอยู่ไกล” คริสออกตัว ขณะที่มองนาฬิกาข้อมือของตนที่พรายน้ำบอกเวลาหนึ่งนาฬิกาแล้ว

 “เราก็ว่าจะกลับอยู่เหมือนกันค่ะ พอดีเรามีรถ คุณจะกลับกับเราก็ได้นะ เอ่อ ฉันหมายความว่าถ้าไปทางเดียวกันน่ะ” เจนเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

 “ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมมีคนที่บ้านมารับ..” ฟังจากการพูดของคริส เจนได้แต่คิดเอาเองว่าคริสคงเป็นลูกชายพวกผู้ดี มีบ้านเป็นปราสาทหรืออะไรอย่างนั้นที่อยู่ออกไปนอกเมือง เวลาไปไหนก็มีคนไปรับไปส่งจึงไม่ต้องมีรถ ก่อนที่คริสจะพูดต่อไปว่า “แต่คุณรู้ไหมลอนดอนน่ะมีรถไฟฟ้าใต้ดินนะและก็รถเมล์ด้วย คุณไม่น่าจะขับรถโฉบไปโฉบมาที่นี่นะ เพราะเรามีที่จอดรถน้อยและแน่นอนว่าเก็บค่าจอดแพงอีกด้วย เปลืองทั้งเงินทั้งน้ำมันรถเลยล่ะ”

 “เรื่องนั้นเราก็พอจะรู้มาเหมือนกัน แต่ว่าฉันเคยชินกับการขับรถมากกว่าน่ะ และที่สำคัญเท่าที่ดูแผนที่เนี่ย คุณมีรถไฟใต้ดินหลายสายมาก และฉันก็ดูแผนที่ได้แย่มาก ดังนั้นขับรถนี่แหละดีที่สุด” เจนบอกและคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ทำให้ใบหน้าสีชมพูเรื่อๆ เพราะความเหนื่อยจากการเต้นของเธอดูสว่างสดใสขึ้นอีก ผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอก็กำลังสั่นไหวไปตามจังหวะการโยกตัวน้อยๆ ตามเสียงเพลง คริสมองเธออย่างติดใจในความงาม แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบผู้ชายที่สนใจผู้หญิงแต่เป็นการชื่นชมเหมือนเป็นกรรมการการประกวดเสียมากกว่า

 “เฮ้ คริส ฉันไปก่อนล่ะ เดี๋ยวแม่มิสตี้ของฉันจะหิวตายเสียก่อน” ว่าแล้วโรแลนด์ก็หอมแก้มคริสก่อนจะเดินเร็วๆ หายไปในกลุ่มคน

 “มิสตี้เป็นแมวของโรแลนด์ น่ารักมาก” คริสว่ายิ้มๆ เหมือนกำลังคิดถึงเจ้าแมวไทยสีเทาตัวอ้วนกลมของโรแลนด์

 คริสอยู่เต้นกับสองสาวอีกพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะตบไปที่เสื้อเชิ้ต เพื่อรับสัญญาณที่สั่นเทาของเครื่องโทรศัพท์มือถือ “ออกไปละ ออกไปละ รออยู่ตรงนั้นแหละ อย่าบ่นได้ไหมเล่า เออ.. เจอกัน..” เขากดปิดโทรศัพท์ เจนมองคริสอย่างสนใจ ในขณะที่เอมี่กำลังคิดว่าทำไมคริสถึงสามารถคุยโทรศัพท์ได้ในที่ที่หนวกหูขนาดนี้ “ผมมีระบบตัดเสียงรบกวนน่ะครับ แล้วเจ้าพี่ชายผมก็ตะโกนเสียหูแทบแตกทีเดียว” เขาว่าเหมือนจะเดาใจทั้งคู่ได้ถูกก่อนจะโบกมือลา “หวังว่าเราคงเจอกันอีกนะครับ นี่เบอร์โทรศัพท์ผม เผื่อคุณๆ ต้องการไกด์พาเที่ยว มันเป็นอาชีพของผมเลยล่ะ” รอยยิ้มของเขาจางหายไปพร้อมกับการหันหลังเดินกึ่งวิ่งไปที่ทางออก

 “ไม่มีผู้คุ้มกันแล้วเอมี่ เราก็กลับกันได้แล้วมั้ง” เจนหันมาคุยกับเอมี่ 

 “ฉันก็เริ่มเนือยแล้วเหมือนกัน.. กลับก็กลับ พรุ่งนี้ไปที่อื่นบ้างนะ” เอมี่ตอบก่อนจะก้าวขาออกนำเจนไปยังทางออกที่เห็นหัวของคริสเพิ่งหายลับออกไป

 อุณหภูมิภายนอกผับนั้นลดต่ำลงกว่าที่เอมี่และเจนคิดไว้มาก เอมี่เดินกอดอกเพื่อกระชับเสื้อโค้ตตัวหนาเข้ากับตัวมากขึ้น ในขณะที่เจนหยิบเอาถุงมืออกมาจากเสื้อโค้ตก่อนจะเดินเคียงข้างไปคู่กับเอมี่ในท่าเดียวกัน

 “หนาวจริงๆ” เอมี่ว่าพลางเอามืออกมาถูกัน ก่อนจะหยุดเดินและมองไปรอบๆ ลานจอดรถแห่งนั้น เพื่อหารถพอร์ชสีแดงเพลิงของเธอ

 “นี่คุณคงไม่คิดจะขับรถกลับหรอกนะ เอมี่?” คริสก้าวเนิบๆ ออกมาจากเงามืดข้างๆ รถจี๊บ ไครสเลอร์สีดำคันใหญ่ที่มองปราดเดียวก็บอกได้ว่ามันเป็นรถที่วิ่งมาอย่างสมบุกสมบันมากทีเดียว

 “อ้าว นี่คุณยังไม่กลับอีกเหรอเนี่ย?” เอมี่ตอบในขณะที่มองดูคริสก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น เจนเพ่งมองคริสด้วยความที่เริ่มจะไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเกย์อย่างที่เห็นในผับหรือเปล่า หรือว่าเขาแค่ล่อเธอสองคนออกมาด้วยการแสดงท่าทีเป็นมิตรและทำให้เชื่อใจ ในขณะที่ออกมายืนรอคอยเหยื่ออยู่ในความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับว่าเขาเป็นฆาตกรโรคจิต

 “ผมรอพี่อยู่น่ะ เห็นบอกว่าจะไปธุระแถวนี้ก่อนแล้วจะกลับมารับใหม่ ไม่คิดว่าพวกคุณจะกลับกันเร็วขนาดนี้” เขาตอบเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาทำร้ายอะไร แต่เจนก็ยังไม่วางใจ ได้แต่แถวหลังมาหนึ่งก้าวขณะที่มือจับข้อศอกของเอมี่ตามมาด้วย

 “เจน หยุดเถอะน่า เธอจะลากฉันกลับเข้าไปในนั้นหรือไงเล่า” เอมี่หันกลับมาถาม ก่อนจะหันไปคุยกับคริส ซึ่งถึงตอนนี้ก็เดินมาถึงตัวของทั้งคู่แล้ว

 “พอดี พรุ่งนี้เราต้องไปเที่ยวกันอีก ก็เลยอยากจะรีบกลับไปพักเอาแรงน่ะค่ะ”

 คริสมองท่าทางของเจนอย่างแปลกใจ เขาไม่คิดว่าการที่เดินลงมาจากรถเพื่อมาทักทายสองสาวจะเป็นเรื่องน่ากลัวอะไร และก็ไม่คิดว่าเจนนิเฟอร์จะไม่เชื่อว่าเขาเป็นเกย์ ก็เขาเป็นจริงๆ นี่ ผู้หญิงคนนี้คิดมากจริงๆ เลยแฮะ

 “เจนครับ คุณจะเดินไปไหนน่ะ ผมไม่ใช่คนร้ายน่า ก็แค่เดินมาทักทายฆ่าเวลาที่เจ้าพี่ชายตัวป่วนของผมทำให้ผมเสียไปเท่านั้นเอง”

 เจนมองหน้าคริสอย่างชั่งใจก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ “ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ” เจนกล่าวตอบอย่างกระดาก ก่อนที่เอมี่จะพูดแทรกขึ้นมาว่า “เจนเขาดูหนังมากไปหน่อย ก็เรามันคนฮอลลีวู้ดนี่เนอะ แล้วที่นี่ก็แปลกถิ่น ระวังตัวไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่คะ”

 “ผมก็ว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ทำอย่างนี้ผมเสียใจนะนี่ และก็ถ้าจะให้พูดโต้งๆ เลยนะ เผื่อพวกคุณจะได้สบายใจขึ้นบ้างหากวันไหนเกิดเจอผมโดยบังเอิญ จะได้ไม่คิดว่าผมเป็นพวกโรคจิตอีก…ผมเป็นเกย์จริงๆ ครับ และภูมิใจที่จะเป็นด้วย”

 “โอ้ย..ฉันล่ะเสียดายหน้าตาคุณจริงๆ เลยล่ะ” เอมี่พูดตลกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดคริสอย่างเป็นกันเอง “ว่าแต่ พี่ชายคุณเขาเดินไปเหรอ ถึงทิ้งเจ้ารถคันโต ที่ฉันว่าไม่ใช่รถคุณใช่ไหม?..ไว้ให้คุณเฝ้าเนี่ย”

 “เขาเดินไปส่งเพื่อนเลยไปทางด้านนู้นนะครับ ประมาณ 1 บล็อก ไม่ไกลและเดินไปก็ไม่เปลืองน้ำมันรถด้วย”

 “คุณว่าคุณทำงานอะไรนะ เป็นไกด์ใช่ไหม” เจนถามหลังจากตัดใจได้ว่าคริสไม่ใช่ผู้ร้ายอย่างที่เธอเห็นบ่อยๆ ในหนัง

 “ก็ประมาณนั้นน่ะฮะ บริษัทของที่บ้านและผมเป็นคนดูแลเรื่องนี้ ไม่เชิงเป็นไกด์หรอก”
 “ถ้างั้นคุณก็เป็นผู้บริหารบริษัททัวร์?” เจนถาม

 “อ้า จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่ผมไม่ค่อยชอบให้เรียกอย่างนั้นเท่าไหร่ แต่ก็ใช่แหละฮะ” เขายิ้มกว้างขวางขณะหันไปมองที่ถนน

 ชายร่างสูงในชุดเสื้อโค้ตตัวยาวสีน้ำตาลอ่อนกำลังเดินเร็วๆ มาตามฟุตบาท เขาเดินเร็วฝ่าลมหนาวที่พัดโบก ทำให้ชายเสื้อโค้ตของเขาปลิวไปตามจังหวะการเดิน เพียงแค่มองไกลๆ ก็พอจะมองออกว่าเขาเป็นคนที่สูงคนหนึ่ง และมีหุ่นที่เป็นนักกีฬาอย่างมากทีเดียว เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้นและได้มองตรงๆ จึงเห็นว่าชุดด้านในของเขาเป็นชุดเสื้อสูทสีเข้ม และมีผ้าพันคอพันอยู่รอบคอแบบลวกๆ ชายสีแดงเข้มของมันก็ปลิวไปตามแรงลมเช่นกัน เขาใส่หมวกถักสีดำและกำลังเดินตรงมายังที่ที่ทั้งสามคนยืนอยู่

 ไม่กี่นาทีต่อมาชายคนนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของทั้งสาม ภายใต้แสงไฟนีออนสีแดงและสีขาวนวลสว่างของป้ายร้าน ALAS SALSA เจนมองเห็นรายละเอียดของรูปหน้าชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน เขามีโครงหน้าเหลี่ยม นัยน์ตาสีฟ้าเขียวดูเข้มกว่าสีตาของคริส จนดูเหมือนมันจะเป็นสีเฮเซล จมูกโด่งเป็นสันและมีร่องรอยว่าเคยหักมาก่อน ริมฝีปากได้รูปสวยไม่หนาและไม่บางเกินไป เขามีสันกรามแข็งแรงและดูเหมือนว่าจะขบมันแน่นจนเห็นเป็นนูนขึ้นมา ทำให้หน้าตาของเขาดูก้าวร้าวทีเดียว โดยรวมแล้วหากเจนและเอมี่เห็นว่าคริสหน้าตาดีล่ะก็ พี่ชายของคริสคนนี้ก็ต้องเรียกว่าดีมาก มากกว่าคริส ที่สำคัญเขาไม่ได้ใส่แว่น และดวงตาของเขามองตรงๆ และเป็นประกายแวววาบดูเอาจริงเอาจัง ไม่มีประกายขี้เล่นแบบคริส

 “คุณผู้หญิงครับ นี่คืออเล็กเซ่ พี่ชายผมเอง” คริสหันมาแนะนำพี่ชายของเขาให้ทั้งสองสาวรู้จัก ก่อนจะแนะนำให้พี่ของเขาให้รู้จักกับทั้งสองคนด้วยเช่นกัน “และนี่คือเจนนิเฟอร์และเอมิเลีย เธอเป็นนักท่องเที่ยวจากอเมริกา” 

 “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” อเล็กเซ่กล่าวตอบก่อนจะยื่นมือมาจับมือกับทั้งคู่ จากนั้นก็หันไปพูดกับคริส “ไปกันเถอะ” และหันมาบอกกับเจนและเอมี่ว่า “ต้องขอตัวก่อนนะครับ หวังว่าคงได้พบกันใหม่” เขายิ้มนิดๆ จนเจนอดคิดไม่ได้ว่าหากตอนนั้นเธอไม่ได้สนใจหน้าของเขาอยู่เธอก็คงไม่เห็นมุมปากที่ถูกยกสูงขึ้นนิดหนึ่งนั่นหรอก

 “เชิญเลยค่ะ” เอมี่รู้สึกเหมือนเพิ่งหาปากเจอ เพราะเธอใช้เวลาเกือบครึ่งวินาทีในการกล่าวตอบเขา และเมื่อชายหนุ่มทั้งสองเดินลับหายไปบนรถจี๊ปสีดำคันนั้น เอมี่ก็แทบจะถอนหายใจเฮือกเลยทีเดียว

 “นี่มันยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดที่ฉันจะรับได้ในคืนเดียวกัน” เธอพูดเหมือนจะบ่นกับตัวเองขณะหันมามองหน้าเจน “อาหารฝรั่งเศสแบบฟูลคอร์ส บาร์เกย์ หนุ่มเกย์แสนดีและพี่ชายของเขา…เอ่อ…เจนเธอพอจะจำหน้าเขาได้หรือเปล่า เขาใช่หนุ่มที่หลุดมาจากจีคิวหรือเปล่าน่ะ พระเจ้าช่วย..” เอมี่เดินนำเจนไปที่รถขณะที่เอามือลูบหน้าตัวเองอย่างใจลอย

 “เธอก็เว่อร์ไปน่า เอมี่ ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาดี..เอ่อ..เหมือนหลุดจากจีคิว คนหนึ่งเท่านั้นแหละ และฉันว่านะ พี่แกขี้เก๊กว่ะ” เจนพูด ในขณะที่จริงๆ แล้วเธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะปฏิเสธความดูดีของหนุ่มคนนั้นไปทำไม

 “เธอจะว่ายังไงก็ตามนะเจน ฉันว่าฉันถูกพลังของพ่อหนุ่มอเล็กเซ่ดูดเข้าไปแล้วล่ะ ดูที่ตาเขาสิ ถ้ามีคนบอกว่าเขาเป็นพ่อมดหรือปิศาจนะ ฉันจะเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ทีเดียวล่ะ… ว่าแต่เธอว่าเขาจะเป็นเกย์เหมือนคริสไหมเนี่ย?”

 “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ไม่เห็นหรือว่าฉันขับรถอยู่น่ะ เดี๋ยวก็ได้หลงทางกันพอดี” เจนกล่าวตัดบทเหมือนรำคาญ ทั้งที่ความคิดของเธอกลับไม่ได้ต่างไปจากเอมี่เลย
 
:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+:+:+:+:+:+:++:+:+:+:+

>>>comment HERE<<<