pue's tales ; tales from pue
My dEar 10
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

 
 
 
ตอนที่ 10

ในเมื่อมือมันมีแค่สองข้าง ในมือของลูกหินจึงมีแค่พ่อกับแม่ที่แท้จริง ส่วนฉัน แม่กำมะลอก็ได้แต่มองอยู่ด้านหลัง....ทำไมชีวิตฉันถึงได้รันทดอย่างนี้นะ

"แม่เพลงจะกลับมาอยู่กับลูกหินแล้วใช่ไหมครับ" เสียงของน้องลูกหินสดใสขึ้นมาก มันเป็นวันเกิดปีที่ดีของแกจริงๆ แต่ฉันอดที่จะยอมรับในใจไม่ได้ว่า มันเป็นวันที่เลวร้ายของฉันเอาเสียมากๆ เลย นายเก้งดูเหมือนว่าจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่ จึงบีบมือฉันเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ ฉันรู้ว่าเก้งก็คงไม่พอใจที่สถานการณ์เป็นอย่างนี้เท่าไหร่ แม้มันจะไม่ดี แม้มันจะดูผิด แต่ฉันไม่ชอบบรรยากาศของครอบครัวอย่างนี้เลย ครอบครัวที่มีพ่อคือพี่ดิน แม่คุณคุณพิณเพลง แล้วก็ลูกอย่างน้องลูกหิน มองเห็นแล้วมันเจ็บที่หัวใจอย่างประหลาด

จะมีใครเชื่อไหมว่าวันนั้นทั้งวัน ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง สมองมันอื้ออึงไปหมด ไม่รู้จะนั่งจะยืนตรงไหนยังไง ถ้าไม่มีเก้งฉันก็คงเดินไม่ตรงทาง สิ่งที่หัวใจของฉันรู้เพียงอย่างเดียวคือ อาการปวดหนึบที่หัวใจ อะไรมันก็ไม่เจ็บเท่า สายตาที่เขามีให้กัน

"กวางหิวไหม?" เสียงพี่ดินเดินมาหาฉัน เขาคงจะพอรู้สึกอะไรบ้าง วันนี้ฉันดูเงียบจนผิดปกติ ฉันส่ายหน้าเบาๆ ฉันไม่โกรธเขาหรอกที่มองคุณพิณเพลง เพราะฉันรู้ว่า ถ้าเป็นฉันฉันก็มอง ผู้หญิงที่ดีเลิศขนาดนั้น ฉันจะไปสู้อะไรได้

"ไม่หรอกค่ะ กวางแค่เหนื่อยๆ" ฉันตอบเสียงแผ่วเบา พี่ดินจึงยื่นน้ำให้ฉันดื่มแก้กระหาย ฉันไม่หยิบขวดน้ำ แต่กลับดื่มน้ำจากขวดที่พี่ดินถือ ไม่รู้ว่าสมองส่วนไหนที่สั่งให้ฉันทำอย่างนั้น และฉันก็ไม่รู้อีกว่าสมองส่วนไหนสั่งให้ฉันมองไปทางคุณเพลง

สายตาของคุณเพลงที่มองมาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างที่สุด ในใจลึกๆ ของฉัน แอบสะใจอย่างไงไม่รู้ รู้นะว่ามันไม่ควรคิดอย่างนั้น แต่ฉันอยากให้เธอได้รู้ว่า ตอนนี้ เวลานี้ พี่ดินไม่ใช่ของคุณเพลง แต่เป็นของฉัน ฉันไม่ได้แย่งพี่ดินมา เป็นเพราะเธอทิ้งพี่ดินไปเอง แล้ววันนี้เธอกลับมาทำไม

"ไม่ต้องกังวลไปนะ" พี่ดินมองตามสายตาฉัน แล้วก็จับหัวฉันเบาๆ ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอเงยหน้าสบตาคู่นั้น ใจของฉันก็หมดแรง

ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจะอธิบายสายตาของพี่ดินยังไงดี แต่ฉันรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในดวงตาคู่นั้น แต่ฉันก็ยังเลือกที่เชื่อคำพูดของเขามากกว่าความรู้สึกของตัวเอง
 
ในงานวันเกิดของน้องลูกหินที่แม่ฉันจัดขึ้นนั้น น้อลูกหินก็เอาแต่ผูกขาดพ่อกับแม่ของตัวเอง จับมือคนทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกันอย่างหวงแหน ฉันนั่งมองหน้าน้องลูกหินที่มีความสุขก็ได้แต่เศร้าใจ ฉันรู้ดีว่าระหว่างแม่กวางกับแม่เพลง น้องลูกหินต้องเลือกแม่เพลงอยู่แล้ว แล้วพี่ดินล่ะ.... เขาจะเลือกใคร?

ฉันรู้สึกเจ็บแปรบๆ ขึ้นมา ความเจ็บมันยิ่งทวีความลึกร้าวขึ้นเรื่อยๆ ฉันต้องสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นฉันก็ลุกขึ้นออกไปที่ระเบียง โดยพยายามให้เป็นที่สังเกตน้อยที่สุด อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากทำให้งานกร่อยหรอกนะ

สายลมเย็นๆ ที่ปะทะหน้า ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ฉันออกมาอยู่อย่างนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเห็นภาพครอบครัวแสนสุขที่แสจะทรมานหัวใจ

"เก้งไม่รู้มาก่อนนะว่าคนๆ นั้นของพิณจะเป็นตาดินอะไรนั่น เก้งรู้เพียงแต่ว่าเขาอยากมาหาลูก" เสียงเจ้าเก้งดังขึ้นข้างหลัง แต่ฉันก็ไม่ได้หันกลับไปมอง

"เจ้เข้าใจ" ฉันพูดออกไปเบาๆ พลางฝืนยิ่มออกมาเล็กน้อย

"ดาวสวยเนอะเก้ง" ฉันเสไปพูดเรื่องดาวแทน เพราะไม่อยากจพูดถึงคนที่อยู่อย่างมีความสุขด้านใน หน้าพี่ดินที่แอบมองหน้าคุณเพลงแล้วอมยิ้มมันช่างปวดร้าวสิ้นดี

"เจ้..." เก้งร้องเรียกฉัน พลางเดินเข้ามาหา เก้งจับไหล่ฉันเบาๆ ขณะที่น้ำตาของฉันไหลลงมาเป็นทางยาว ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปากของเราทั้งสองอีกเลย

"แม่กวางครับแม่กวาง ลูกหินจะเป่าเค้กแล้วครับ" เสียงน้องลูกหินวิ่งมาหาพร้อมน้ำเสียงที่ร่าเริงสุดฤทธิ์ ฉันรีบปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหันมายิ้มกับน้องลูกหิน

"งั้นเหรอครับ ว้า เก้งน่ะ ไม่น่าชวนพี่คุยเลย ไปกันเถอะไป" ฉันพูดจบก็อุ้มน้องลูกหินขึ้นมาอุ้ม

...ใช่ฉันต้องยิ้ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องยิ้ม....
 
เช้าวันรุ่งขึ้นเก้งกับคุณเพลงก็กลับกรุงเทพฯ แม่ของฉันให้คนที่รีสอร์ทขับรถไปส่งแทน ฉันมองหน้าคุณเพลงที่ทำหน้าลำบากใจอยู่ ฉันยิ้มให้เธออย่างบางเบา ฉันรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิด เธอไม่ได้ตั้งใจจะมาสร้างความเจ็บปวดหรือว่าไม่มั่นคงให้เกิดขึ้นในใจฉัน เรื่องของความรัก มันไม่มีใครผิดใครถูก ฉันเข้าใจดี

หลังจากส่งทั้งสองคนขึ้นรถไปแล้ว ฉันจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นคนเดียว ในยามนี้ฉันรู้สึกอ้างว้าง เหง เศร้า ฉันรู้สึกว่าชีวิตฉันไม่เหลือใครเลย ปิ่นก็อยู่ที่อังกฤษ แม็กซ์ก็อยู่เยอรมัน มีฉันคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ มีเพียงฉันคนเดียวบนโลกเหงาๆ ใบนี้

"เป็นอะไรไปกวาง" เสียงแม่ดังขึ้น พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ฉัน

"เปล่าค่ะ" ฉันเลือกที่จะปฏิเสธ ฉันไม่อยากให้แม่ต้องมาคิดมากไปด้วย

"เพลงใช่ไหม ไม่น่าเชื่อว่าโลกจะกลมขนาดนี้ ถ้าวันที่เก้งกับเพลงมาแม่อยู่ที่รีสอร์ท คงจะช่วยกวางได้มากกว่านี้" แม่พูดพลางลูบผมฉันเบาอย่างอ่อนโยน ความอ่อนโยนของแม่ทำให้ฉันร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น แม่กอดฉันเบาๆ แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น ...ใช่ฉันยังมีแม่ แม่ที่รักฉัน แม่ที่เป็นของฉัน แม่ที่รักฉันตลอดไป...
 
ตอนเย็นน้องลูกหินรีบวิ่งมาที่บ้าน ร้องเรียกแต่แม่เพลงๆ วิ่งเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ น้ำตาไหลเป็นทาง ไม่มีใครบอกแกว่าแม่ของแกจะกลับวันนี้ ทุกคนรู้ว่าถ้าแกอยู่ แกคงไม่ยอมให้แม่ของแกกลับไปอีกแล้ว

"แม่กวาง แม่เพลงไม่รักลูกหินใช่ไหมครับ" น้องลูกหินพูดไปก็สะอื้นฮัก ฉันกอดเด็กตรงหน้าแล้วก็ร้องไห้ไปกับน้องลูกหิน ทำไมฉันจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ ความรู้สึกของคนที่ไม่เป็นที่ต้องการ ความรู้สึกที่ต้องการอ้อมกอดของคนเป็นแม่

คืนนั้นกว่าฉันจะกล่อมน้องลูกหินได้ น้องลูกหินก็ร้องไห้จนตาบวม คืนนั้นฉันเลยให้น้องลูกหินนอนกับฉัน หลังจากส่งน้องลูกหินนอน ฉันก็เดินลงมาที่ระเบียงบ้านพร้อมกับพี่ดิน ตั้งแต่คุณเพลงมาเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันมาก ทั้งๆ ที่เราคุยกันมากจะตาย แต่ช่วงนี้เรากลับไม่รู้จะคุยอะไรกันดี

"น้องลูกหินแกน่าสงสารนะคะ" ฉันพูดขึ้นทำลายความเงียบ ฉันมองเสี้ยวหน้าของพี่ดินที่ตอนนี้ติดจะเคร่งขรึม

"พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไง" พี่ดินพูดขึ้นมา ฉันรู้ว่าพี่ดินรู้ว่าควรทำยังไง แต่เขาทำไม่ลงต่างหาก

"ตามง้อคุณเพลงกลับมาสิคะ" พูดไปก็ใจหายวาบ พยายามสะกัดกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แต่ตอนนี้ฉันต้องเข้มแข็ง

"กวาง" เสียงพี่ดินดูตกใจกับคำพูดฉันไม่น้อย ฉันหันไปยิ้มฝืนๆ ให้กับเขา

"กวางเข้าใจค่ะ" ฉันพูดออกไปด้วยเสียงที่เบาโหวง ตาของคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนตกใจ เขาดึงตัวฉันมากอดเบาๆ อาจเป็นเพราะน้ำตาที่มันคลออยู่ล่ะมั้งที่ทำให้เขาทำอย่างนี้

"พี่กับเพลง... มันจบไปแล้ว จบแล้วจริงๆ" สมองมันคัดค้าน แต่หัวใจฉันเลือกที่จะเชื่อเขา อาจจะเป็นเพราะฉันไม่พร้อมที่จะเสียสละหัวใจของฉัน

จากวันเป็นเดือน ฉันก็มาอยู่ในงานแต่งงานของปิ่นจนได้ ปิ่นกับพี่ภูปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ส่วนเรื่องของคุณพิณเพลงดูเหมือนจะหายไปกับกลีบเมฆ ความจริงฉันสามารถถามข่าวคราวจากเจ้าเก้งได้ แต่เราสองคนเลือกที่จะเลี่ยงหัวข้อนี้ เพราะคงไม่มีใครอยากเอาหัวใจไปกรีดเล่นโดยไม่จำเป็นหรอกนะ
วันแต่งงานของยัยปิ่น ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีผู้หญิงคนไหนของพี่ภูมาอาละวาด ฉันมองภาพเพื่อนของฉันที่ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้ มันมีคนที่รักมันอย่างจริงใจ พี่ภูเอาหัวใจมาผูกกับปิ่นคนเดียว ส่วนคนของฉันล่ะ ตัวอยู่ข้างฉัน แต่เอาใจไปผูกกับใคร มันเจ็บยิ่งกว่าเขาไปมีอะไรกับใครเสียอีก

"แกเป็นอะไรหรือเปล่ากวาง" ปิ่นมองหน้าฉันแล้วถามฉันเบาๆ เราสองคนอยู่ในห้องแต่งตัวเจ้าสาว ก่อนที่จะมีงานเลี้ยงตอนเย็น

ฉันตั้งใจจะขยับปากบอกว่าเปล่า แต่สายตาของปิ่นทำให้ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง ปิ่นโอบไหล่ฉันเบาๆ แล้วน้ำตาของฉันก็ไหลออกมาอีกครั้ง

ถ้าหลังจากคุณเพลงมาเขาไม่ทำท่าเหม่อลอย
ถ้าเขาไม่เรียกชื่อฉันผิดเป็นคุณเพลง
ถ้าเขาไม่มองรูปคุณเพลงด้วยสายตาเศร้าสร้อย
...เพียงเท่านี้ฉันก็คงไม่คิดมาก...
 
"เพล้ง"

"กวางเป็นอะไรหรือเปล่า?" พี่ดินรีบรุดมาดูฉัน ฉันก็เพียงแต่ยิ้มแหยๆ ฉันทำแก้วแตกเป็นใบที่เท่าไหร่แล้วนะ

"ขอโทษค่ะ กวางทำแก้วแตกอีกแล้ว" ฉํนพูดพลางยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี แต่ข้างในใจกลับไม่เป็นอย่างนั้น

พี่ดินมองเข้าไปในดวงตาของฉันราวกับจะอ่านหัวใจที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ เขาจูบลงที่หน้าผากฉันเบาๆ "ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย"

จากนั้นพี่ดินก็พาฉันมาเดินเล่นที่ไร่ คราวนี้พี่ดินมาแปลก ชี้ชวนให้ฉันดูนู่นดูนี่ ราวกับพาแขกชมไร่ แต่ฉันรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น พี่ดินอธิบายระบบการทำงานและไร่ของที่นี่ให้ฉันฟัง ฉันเองก็ฟังอย่างตั้งใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างนี้ทำไม จนกระทั่งตอนเย็นเราก็อยู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง พระอาทิตย์กำลังจะตกลับทิวภูเขาที่เรียงสลับซับซ้อนอย่างสวยงาม พี่ดินโอบตัวฉันมาใกล้ๆ ก่อนที่จะจูบลงที่ขมับของฉัน

"แต่งงานกันไหมกวาง" ในวูบนึงของความดีใจ ฉันเกิดความเศร้าแทรกเข้ามา เขาต้องการจะหนีอะไรหรือเปล่า เขาถึงมาขอฉันแต่งงาน

"เร็วไปไหมคะ" ฉันถามออกไป แต่เขากลับส่ายหัว

"ไม่หรอก กวางจะได้มั่นใจในตัวพี่ด้วยไง" เขาพูดง่าย แต่ให้ฉันทำจริงคงยาก "...นะกวาง เดี๋ยวพี่พูดกับแม่กวางเอง พ่อแม่พี่ก็เสียไปแล้ว พี่จะให้ผู้ใหญ่ในจังหวัดมาสู่ขอกวางแล้วกัน"

"พี่ดิน..." ฉันร้องขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเขาจะเอาจริง สมองของฉันตอนนี้สับสนไปหมด ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี แต่ระหว่างที่คิดอยู่นั้น พี่ดินก็ก้มลงจูบฉันอย่างแผ่วเบา

"อย่าปฏิเสธนะกวาง พี่ขอร้อง" เขากระชับตัวฉันเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแน่นขึ้น ราวกับจะหาความมั่นคง สมองของฉันตอนนี้คิดอะไรไม่ออก หัวใจของฉํนจึงสั่งการให้ฉันพยักหน้า แล้วตอบตกลงเข้าไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้ถึงทางข้างหน้าเป็นหุบเหว ฉันก็ยินดีที่จะตกลงไป ถ้าเขาเป็นคนพาฉันไป...
 
ตั้งแต่ฉันตอบตกลงออกไป ฉันก็รู้สึกตัวเองตัวลอยๆ เหมือนโดนทำเสน่ห์ยังไงไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือ ฉันไม่ชอบที่ตัวเองเป็นอย่างนี้เลย เหมือนกันไม่มีหลักแหล่ง ฉันอยากจะบ้าตาย นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย ยัยปิ่นรู้เรื่องกฌโทรมาหาฉํนเป็นวิบๆ รอบให้คิดดีๆ ฉันรู้ว่าฉันควรจะคิดให้ดี ให้รอบคอบกว่านี้ แต่จะให้ทำยังไงก็ตอบตกลงไปแล้วนี่นา

"เป็นอะไรไปกวาง" เสียงแม่ถามขึ้นแล้วก็นั่งลงใกล้ๆ ฉัน ฉันหันมามองแม่แล้วยิ้มให้ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองทิวเขาที่เรียงสลับซับซ้อนอยู่ตรงหน้า

"ตอนที่แม่จะแต่งงานแม่กังวลไหมคะ" ฉันถามแม่ แม่มองหน้าฉันชั่วครู่อย่างรู้ความคิดของฉัน

"กังวลไหม? ก็มีบ้างนะ แต่ก็มีความสุขด้วย แล้วก็กลัว ไม่รู้สิ มันบอกไม่ถูก บางทีก็คิดว่า เขาคนนี้แน่หรือที่เราจะใช้ชีวิตด้วย" แม่ตอบแล้วก็นิ่งเงียบไป

"แม่กลัวบ้างไหมคะ ว่าพ่อจะไม่รักแม่จริงๆ"

"มันก็ต้องมีบ้าง กวางอย่ากังวลไปเลย" ฉันนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้จะเรียกว่า marrige blue ได้หรือเปล่า ฉันถอนหายใจอีกครั้ง เพื่อที่จะไล่ความรู้สึกกังวลออกไป

"แม่คะ กวางจะลงไปกรุงเทพฯ สักพักนะคะ"
 
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในใจ วันนี้ฉันเลยตัดสินใจมาช็อปปิ้งให้สนุกไปเลย น่าเสียดายที่ยัยปิ่นไม่ว่าง ฉันเลยต้องมาเดินซื้อของคนเดียว แต่ไอ้การซื้อของ และเสียเงินเยอะๆ เนี่ย มันช่างเป็นความสุขที่ประหลาดดีเหลือเกิน หลังจากตะเวนซื้อของจนคว้าว้าวุ่นในใจหมดไปบ้างบางส่วน (ในยามนี้) ฉันก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปกินเค้กอร่อยๆ สักชิ้นที่ร้านประจำที่ห่างเหินมาเนิ่นนาน

เจ้าช็อกโกแลตสีขาวเนื้อเนียนสวยที่ประดับประดาไปด้วยแผ่นช็อกโกแลตน่าเอร็ดอร่อยวางอยู่ตรงหน้าฉัน พร้อมกับชามะลิกลิ่นหอม เล่นเอาฉันลืมเรื่องราวที่อยู่ในใจไปเสียหมดสิ้น ....เอาล่ะ เรื่องต่อไปนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมันก่อน ตอนนี้ขอมีความสุข เพียงชั่วครู่ก็ยังดี....

"เฮ้ กวาง แกมาอยู่นี่ได้ไง" เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูทักขึ้น ทำให้ฉันเงยหน้าจากเจ้าช็อกโกแลตสีขาวน่ากิน

"ไอ้นัต ลมอะไรหอบแกมา ไม่ทำงานทำการเหรอวะ" ฉันตอบกลับไปอย่างยินดี เพราะว่าฉันไม่เจอเพื่อนคนนี้มานานมากแล้ว

"เพิ่งกลับจากฝรั่งเศส เพิ่งจะได้พักเนี่ย เหนื่อยชะมัดเลย" นัตบ่นพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับฉัน ถึงแม้ฉันจะไม่สนิทกับนัตมาก แต่เราก็คุยกันได้อย่างสนุกสนาน

"ได้ข่าวว่าแกกำลังจะแต่งงาน" นัตถามขึ้นหลังจากสั่งน้ำจากบริกรเรียบร้อยแล้ว ฉันพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับความรู้สึกว้าวุ่นที่แล่นเข้ามาหาทันทีทันใด

"จะแต่งงานแล้วทำไมทำหน้าตาเบื่อโลกอย่างนั้นวะ" มันก็อย่างนี้เหมือนเคย ความรู้สึกไวอย่างกับปรอท

"ก็....."

"ไม่มั่นใจ" มันตอบให้เหมือนกับรู้ใจ
 
"แล้วแกล่ะ ไม่แต่งกันเสียที คบกันมานานแล้วนะ เดี๋ยวผู้หญิงอื่นก็คว้าไปกินหรอก ตอนนี้หน้าตาแบบญี่ปุ่นเกาหลีกำลังเป็นที่นิยมอยู่ด้วย" ฉันหันเหความสนใจของนัตไปที่แฟนของมัน

"ไม่รู้ว่ะ ยังไม่มั่นใจมั้ง แกอย่าลืมสิฉันกับมันเป็นเพื่อนกันมา 5-6 ปี เพิ่งจะมาคบกันเมื่อ 2 ปีหลังนี่เองนะ ฉันกลัวว่ามันจะไม่ใช่ความรักที่แท้จริง"

"อะไรคือความรักที่แท้จริงวะ" ฉันถามมันไปด้วยความอยากรู้

"อะไรดีล่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน" นัตยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบฉันต่อ "ฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าที่จริงแล้วมันใช่คนๆ นั้นของฉันหรือเปล่า บางทีคนเราก็มองข้ามความรักเพราะความใกล้ บางคนก็คว้าความรักเพราะความใกล้ คนเราจะรักกันก็ต้องเป็นรักเพราะรัก เพราะอย่างนี้ฉันต้องให้เวลาพิสูจน์นานๆ ถ้าคนมันคู่กันนะกวาง ยังไงมันก็ต้องคู่กัน โอ้ย... นี่แกชวนฉันคุยอะไรเนี่ย ไร้สาระชะมัด"

นัตพูดพลางยิ้มเขินๆ ฉันรู้ว่านัตเป็นคนมองอะไรๆ ด้วยความเข้าใจเสมอ โดยเฉพาะเรื่องความรัก แต่มันไม่ค่อยจะแสดงออกมาหรอก เพราะมันจะคิดว่าเป็นเรื่องน่าอายที่จะพูด อาจจะเป็นเพราะมันอาจจะเคยสูญเสียมามาก ก็เลยเข้าใจมากกว่าคนอื่น แต่นัตจะรู้บ้างหรือเปล่าว่า คำพูดของมันแทงทะลุเข้าไปในจิตใจของฉันเหลือเกิน รักเพราะใกล้ ไม่ใช่รักเพราะรัก ฉันกับเขาล่ะมันเป็นแบบไหน

ฉันคุยกับนัตสักพัก พ่อคุณของนัตก็โทรตาม นัตทำเสียงขุ่นๆ แต่ก็มีรอยยิ้ม ก่อนจะขอตัว นัตสัญญาเอาไว้ว่างานแต่งของฉันจะไปให้ได้ ฉันยิ้มฝืดๆ ให้กับนัต พลางคิดในใจว่า 'มันจะมีวันนั้นไหม?'
 

เย็นนั้นฉันก็ได้รับคำเชิญไปกินข้าวเย็นที่บ้านของข้าวใหม่ปลามันอย่างยัยปิ่นกับพี่ภู พร้อมกับรับฟังข่าวดีของมัน
 
"เฮ้ยอะไรจะเร็วขนาดนั้น" ฉันตะโกนถามมัน ไอ้ปิ่นมันก็หน้าแดงแปร้ด แหมก็แต่งงานแค่ 2-3 เดือนก็มีน้องมาอยู่ในท้องแล้ว
"ท้องก่อนแต่งหรือเปล่าวะ ช่วงนี้กำลังฮิตเชียว" ฉันพูดเเซวมัน

"ไอ้กวางบ้า" ตอนนี้มันเลิกหน้าแดงด้วยความอายมาเป็นหน้าแดงด้วยความโมโหแล้วล่ะ ดูๆ แล้ว ช่วงนี้ไอ้ปิ่นมันก็มีน้ำมีนวลขึ้นจริงๆ นั่นแหละ และข่าวดีของปิ่นในวันนั้น ฉันก็เลยรู้สึกดีกับมันไปด้วย ถ้าไม่มีคำพูดต่อมาของมัน

"แกไม่ต้องมาแซวฉันหรอก อีกหน่อยแกก็จะแต่งแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ก็เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอยู่น่ะสิ" ปิ่นแซว ทำให้ฉันเงียบลงไปอีกครั้ง

"เป็นอะไรไปวะ" ปิ่นถามขึ้นเมื่อเห็นฉันเงียบลงไป ส่วนพี่ภูก็เหมือนกับรู้หน้าที่ เขาขอตัวเอาจานไปเก็บ แล้วก็หลบขึ้นไปข้างบน

มันเหมือนกับความอดทนของฉันขาดสะบั้นลง น้ำตาหยาดใสๆ ไหลลงมา พร้อมกับเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจ และน้อยใจทั้งหมดออกมา ปิ่นลูบไหล่ฉันเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ

"ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับแก ชีวิตแก แกเป็นคนตัดสินใจ แกต้องเป็นคนหาคำตอบเอาเอง" ปิ่นพูดตบท้ายก่อนที่ฉันจะกลับ พร้อมกับกอดให้กำลังใจ ฉันยอมรับเลยว่าภายใต้ท่าทีที่อ่อนโยน จนเหมือนอ่อนแอ แต่ก็ซ่อนความเข้มแข็งเอาไว้ เพราะถึงสถานการณ์ที่คุบขันทีไร ปิ่นจะสามารถยืนอยู่อย่างเข้มแข็งได้ทุกครั้ง

"ขอบใจ" ฉันตอบมันเบาๆ
 

หลังจากนั้นฉันก็เดินทางกลับเชียงรายด้วยจิตใจที่สับสน นัตพูดถูก ปิ่นก็พูดถูก ฉันต้องหาทางค้นหาให้ได้ว่ารักของเขาที่มีให้ฉันมันคืออะไรกันแน่ ฉันกลับโดยที่ไม่ได้บอกใครล่วงหน้า และอะไรก็ไม่รู้ทำให้ฉันไปที่ไร่ของเขา ก่อนที่จำกลับไปที่รีสอร์ทของตัวเอง แต่ฉันรู้แน่ๆ ว่า หนึ่งในนั้นคือความคิดถึง

"คุณจะมาพูดอย่างนี้ไม่ได้นะดิน ลูกต้องไปกับฉัน ในเมื่อคุณกำลังจะแต่งงาน โอเคกวางเป็นคนดี แต่สักวันคุณกับกวางก็ต้องมีลูกใหม่ กวางจะรักตาลูกหินเท่ากับลูกของตัวเองได้ยังไง อีกอย่าง...."

"หยุดเดี๋ยวนี้นะเพลง ผมเข้าใจว่าคุณกำลังคิดอะไร แต่คุณกับเก้งล่ะ ไม่คิดจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้เหรอ ให้ตายสิ" เขาพูดจบก็หันหน้าไปทางอื่น

ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากบทสนทนาเมื่อครู่ฉันก็พอจะรู้ว่าเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน และกำลังมีปัญหาเรื่องอะไรกัน

"คุณเป็นคนทิ้งแกไปเองนะเพลง" พี่ดินเริ่มต้นบทสนทานาอีกครั้ง "ทิ้งทั้งตาลูกหิน... แล้วก็ผม"

ให้ตายสิ คำว่าที่เขาพูดว่า 'แล้วก็ผม' มันช่างฟังดูเจ็บปวดอะไรเช่นนี้

"คุณต่างหากดินที่ทิ้งฉันไป คุณทิ้งฉันไปหายัยแบมอะไรนั่น เวลาคุณอยู่กับมัน คุณไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของฉันเลย" คุณเพลงพูดพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม พี่ดินมองดูด้วยความตกตะลึง แล้วก็เดินเข้ามาหาเธอช้าๆ ก่อนที่จะเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยแววตาที่หวานซึ้ง แววตาที่ฉันคิดว่า ฉันเองก็ไม่เคยได้

"ผมไม่เคยที่จะเห็นคนอื่นสำคัญกว่าเพลง" คำพูดนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าคำไหนๆ ที่ฉันเคยได้ยินจากปากเขา ฉันกำมือของตัวเองแน่น ฉันต้องเข้มแข็ง ฉันต้องไม่ร้องไห้ ฉันหลับตาช้าๆ เพื่อไล่ภาพสุดท้ายของเขากับคุณเพลงออกไป

ฉันไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ กับคำพูดที่ได้ยินว่า 'เพลงไม่ต้องเป็นห่วง กวางกับผมจะรักลูกหินยิ่งกว่าใคร' ที่ไม่ใส่ใจ เพราะมันเลื่อนลอย และไม่มั่นคงเหมือนกับคำนั้น นี่สินะคือคำตอบ ฉันยิ้มเยาะให้กับตัวเอง ตัวสำรองจะมีความสำคัญ ก็ต่อเมื่อตัวจริงยังเจ็บ แต่เมื่อตัวจริงเขากลับมา ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่อีกต่อไป

ฉันต้องทำได้ ฉันต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เป็นเพื่อตัวฉันเอง....
 

Enter supporting content here