pue's tales ; tales from pue
My dEar 7
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

 
 
 
ตอนที่ 7

"เจ้ไม่กลับไปไม่ได้เหรอ?" คำพูดของเก้งทำให้ฉันนิ่งเงียบไป เก้งไม่เคยพูดคำนี้กับฉันโดยตรง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เก้งพูดขึ้น

ฉันยังจำสายตาของเก้งได้ดีในวันที่ฉันทะลาะกับที่บ้านใหญ่โต แล้วเก็บข้าวของเพียงไม่กี่ชิ้นใส่กระเป๋าเป้ แล้วสะพายออกไปจากบ้าน วันนั้นเก้งไม่มีคำพูดใดๆ สักคำ แต่สายตาของเก้งเว้าวอนฉันไม่ให้ฉันจากไป และนับจากวันนั้นฉันก็ไม่เคยมาค้างที่บ้านนานกว่า 2 วันอีกเลย แม้ว่าจะคืนดีกับพ่อแล้วก็ตาม ครั้งนี้ก็เช่นกัน

"เก้งไม่เข้าใจ บ้านก็มี ทำไมต้องไปค้างที่คอนโดด้วย" เก้งมันยังคงบ่นเป็นหมีกินผึ้งไม่จบ ความจริงฉันก็อยากอยู่กับน้องกับพ่อ แต่มันเหมือนมีอะไรทำให้ฉันไม่สามารถทนอยู่ในบ้านหลังนั้นได้นาน บางทีอาจเป็นเพราะบ้านหลังนั้นมีความทรงจำที่แสนสุขในวัยเด็ก และความทรงจำที่ปวดร้าวปะปนกันอยู่ ฉันเคยมีพ่อแม่อยู่ในบ้านหลังนั้นพร้อมหน้า และที่บ้านหลังนั้นฉันก็เห็นแม่เดินจากไปทั้งน้ำตา

ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ครั้งนี้ก็เหมือนครั้งเก่าที่ฉันจำต้องทำเป็นใจแข็ง ทั้งๆ ที่ฉันอยากจะปลอบมันใจจะขาด

"เจอกันที่ร้านนะเก้ง" ฉันก้าวขึ้นรถในที่ของคนขับ แล้วขับออกไปทันที พอฉันมองไปที่กระจกหลังก็เห็นน้องชายเพียงคนเดียวยืนมองฉันด้วยสายตาที่ผิดหวังอย่างแรง น้ำตาใสๆ ของฉันรื้นขึ้นมาอย่างทรยศ พอฉันขับรถออกมาจากซอยได้ฉันก็ขับรถเข้าข้างทางแล้วก็ร้องไห้ออกมา ฉันไม่ชอบตัวเองที่เป็นอย่างนี้เลย มันอ่อนไหว อ่อนแอ... จนเกินจะรับไหว
 
หลังจากนั้นฉันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันแวะล้างหน้าล้างตาในปั๊มน้ำมัน ก่อนที่จะไปรับยัยปิ่นตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ว่าวันนี้จะไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน

วันนี้เรากินข้าวกลางวันกัน 3 คน ไม่ใช่ 4 คนอย่างที่ฉํนคิดเอาไว้ พี่ภูบอกว่าพี่คีจับเครื่องบินไปเชียงใหม่ทันทีหลังจากงานหมั้นของพี่ภูกับยัยปิ่น แน่นอนว่าเขาไม่ได้มารับฉันไปกินข้าวอย่างที่สัญญาเอาไว้ แต่เขาก็โทรมาขอโทษขอโพย แต่เสียงของพี่คีทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร

"คือ...พี่จะบอกยังไงดีล่ะ เฮ้อ..." พี่ภูพูดพร้อมกับถอนหายใจยาว ทำให้ฉันสงสัยมากขึ้นไปอีก เพราะแค่ฉันพูดว่าพี่คีดูเสียงเปลี่ยนๆ ตอนโทรมาหาฉันเท่านั้นเอง

"มีอะไรเหรอคะพี่ภู" ยัยปิ่นมองหน้าคู่หมั้นด้วยความเป็นห่วง

"มันคงคิดถึงใครบางคนมากไปน่ะ ถึงแม้มันจะยิ้มอยู่เสมอ แต่มันก็คงเศร้าแหละ มันคงคิดถึงวันเก่าๆ" พี่ภูพูดพลางยิ้มเศร้าๆ "วันมะรืนเป็นวันครบรอบวันตายของเพื่อนพวกพี่คนนึง คีมันคงอยากจะอยู่ที่นั่นในวันนั้น"

พี่ภูพูดเพียงเท่านั้นก็หันไปพูดเรื่องอื่นต่อ คนอย่างพี่คีน่ะเหรอเศร้า ฉันเห็นพี่คีหน้าเป็นจะตาย ยิ้มได้อยู่ตลอดเวลา จนฉันคิดว่าเขาจะมีเรื่องราวอะไรที่ทำให้เศร้าหรือเดือดเนื้อร้อนใจบ้างได้ไหม แล้วทำไมพี่คีถึงต้องเสียใจขนาดนั้น หรือว่าเพื่อนคนที่ตายไปจะมีความสำคัญต่อพี่คีมาก

"พี่ภูคะ พี่คีเคยบอกกวางว่าเขามีผู้หญิงที่รักมาก แต่อยู่ไกลแสนไกล ตอนนี้เธอคนนั้นอยู่ที่ไหนเหรอคะ?" ฉันตัดสินใจถามคำถามที่ค้างคาใจมานาน ใช่ว่าฉันไม่เคยภามพี่คี แต่ทุกครั้งที่ถาม พี่คีจะเอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไร

"คีมันเคยเล่าให้ฟังเหรอ?" พี่ภูถามพลางทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ ฉันพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะพูดประโยคต่อไป

"ผู้หญิงคนนั้นชื่อแพรว เป็นผู้หญิงที่น่ารัก สองคนนี้รักกันมาก แล้วก็แต่งงานกันทันทีที่เรียนจบ แต่ก็..." พี่ภูพูดตรงนี้ก็เบือนหน้าไปทางอื่น ราวกับว่ามันเป็นเรื่องสะเทือนใจมาก "แพรวเป็นคนดีจริงๆ แต่กลับต้องมาตายเพราะโรคร้าย หลังจากแต่งงานกันไปได้ไม่กี่วัน"

ยัยปิ่นกับฉันทำหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เราสองคนมองหน้ากัน แล้วก็หันไปมองพี่ภูที่ดูสะเทือนใจไม่น้อยกับเรื่องดังกล่าว

"พี่ภูไม่เคยเล่าให้ปิ่นฟังเลย" ปิ่นร้องขึ้นมา ไม่ใช่ว่ามันน้อยใจหรอก แต่มันพูดเพราะมันแปลกใจมากกว่า

"ไม่มีใครอยากจะพูดเรื่องนี้หรอกปิ่น พอพวกพี่นึกมาทีไรก็อดที่จะเศร้าไม่ได้ทุกที แม้ว่าพวกเราจะมีเวลาทำใจอยู่พอสมควรก็ตาม"

จากนั้นพวกเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย ฉันฟังๆ ดูแล้วก็อดสงสารพี่คีไม่ได้ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่คีจะมีความรักที่น่าเห็นใจขนาดนี้ รักกันมากแต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เฮ้อ...โลกนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ แล้วฉันจะสามารถเจอรักที่แท้จริงบ้างไหมนะ
 

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ฉันก็ขอตัวไปเดินซื้อของแล้วจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้เรียบร้อย ทีแรกฉันก็คิดว่าจะขับรถไปอยู่หรอก แต่พอรู้เรื่องพี่คีแล้วอยากจะเจอแกยังไงไม่รู้ พี่ภูก็ดีใจหายเขียนที่อยู่ส่งมาให้ พร้อมกับบอกว่าเวลานี้มันไม่เปิดโทรศัพท์ไม่ต้องโทรไปให้เสียเวลา แต่ที่แน่ๆ คือพี่คีต้องอยู่ถึงวันอาทิตย์อย่างแน่นอน แล้วก็เป็นจริงอย่างที่พี่ภูบอก พี่คีไม่เปิดโทรศัพท์ ไม่ว่าฉันจะเพียรโทรไปหาเท่าไหร่ก็ตาม

ระหว่างที่ฉันเดินเล่นอยู่นั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ฉันมองเบอร์แล้วก็กดรับ พยายามทำเสียงให้ปกติธรรมดาที่สุด

"ว่างไหม?" คำถามง่ายๆ ของเพื่อนคนนึงที่รู้จักกันมานาน ตอนนี้มันกลับทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจ "มีคิวต้องไปกับใครหรือเปล่า?"

"ถ้าจะพูดอยางนี้อย่าโทรมาดีกว่าแม็กซ์" ฉันยอมรับว่าฉันไม่ค่อยพอใจกับการพูดจาของมันสักเท่าไหร่

"โทษที อย่าถือไปแล้ว แกก็รู้ว่าฉันเป็นอย่างนี้.. รู้ดีกว่าใคร มาเจอกันหน่อยสิ อยากเจอ" เสียงอ้อนๆ ของมันในตอนท้ายทำให้ฉันตัดสินใจรับปาก โดยนัดมันกินข้าวเย็นแล้วกะว่าจะเข้าที่ร้านดึกหน่อย

ฉันนัดแม็กซ์ไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างที่ฉันเดินเล่นอยู่นั่นแหละ หลังจากที่ฉันเดินอย่างจุใจหลังจากที่ไม่ได้ช็อปปิ้งมานานแล้ว ฉันก็เดินเข้าไปในร้าน และเลือกทีนั่งติดกระจก เพื่อมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ฉันนั่งอยู่ได้สักพักก็เห็นแม็กซ์เดินมาแต่ไหล ถ้าฉันดูไม่ผิด ฉันว่าตอนนี้แม็กซ์มันดูโทรมกว่าเดิมมาก ขอบตาดำคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาหลายคืน หน้าตาก็ดูหมอง แววตาอ่อนระโหยโรยแรง

"เป็นไง ทำไมดูโทรมอย่างนั้นวะ" แม็กซ์ตวัดสายตาขึ้นมามองฉันราวกับตัดพ้อว่า 'เป็นเพราะใคร'

"ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ยังไม่ตาย"

"แม็กซ์!!" ทำไมหมู่นี้มันถึงชอบทำให้ความอดทนฉันขาดผึงอยู่เรื่อยนะ แม็กซืโบกมือเป็นเชิงไม่ให้ฉันใส่ใจ ก่อนที่จะมองหน้าฉันอย่างจริงจัง

"ช่างเถอะ วันนี้ฉันมาเพราะมีเรื่องจะบอกแก" แม็กซ์พูดพลางทำหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญมากที่สุดในชีวิต

"ฉันกำลังจะไปเยอรมัน ที่บริษัทเขาจะให้ไปดูงานที่นั่น และฉันก็คิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะไป ทีแรกก็ลังเลแต่เพิ่งมาตัดสินใจได้เมื่อไม่นาน"

ตอนนั้นฉันรู้สึกมือไม้อ่อนไปหมด ชีวิตฉันไม่เคยต้องขาดแม็กซ์ไปเลย ไม่ว่าเมื่อไหร่หากฉันมีปัญหาเพียงแต่โทรหามัน มันก็จะมาหาฉันทันที ไม่ว่ามันจะทำอะไรอยู่กับใครก็ตาม

"ไปกี่ปี" เสียงของฉันเริ่มแหบพร่า แต่ก็พยายามบังคับเสียงให้ดูเป็นปกติ

"2 - 3 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น" แม็กซ์หันออกไปมองด้านนอกของร้าน ราวกับว่ามันมีอะไรน่าสนใจนักหนา

ฉันเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่า 'ไม่ไปไม่ได้เหรอ' หากแต่ก็ยั้งปากเอาไว้ทัน อนาคตของมัน และเพื่อชีวิตของมัน

"ดีใจด้วยนะ"

แม็กซ์หันมาแค่นยิ้มให้ "ฉันนึกแล้วว่าแกต้องไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการที่ฉันต้องไปไกลๆ แกคงดีใจสินะที่ไม่มีก้างอย่างฉัน"

"แม็กซ์!! แกพูดอย่างนี้แสดงว่าแกไม่รู้จักฉันจริงนี่นา เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีทำไมแกพูดอย่างนี้" ตอนนี้ฉันเริ่มที่จะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม็กซ์ถึงได้พูดจาอย่างนี้ออกมาได้

"ขอโทษ"  เออ บทมันจะขอโทษก็ง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ ฉันอ้าขยับปากจะด่าต่อแต่ก็พูดไม่ออก ตอนนี้แม็กซ์เหมือนมันไม่อยู่ในอารมณ์สักเท่าไหร่ ยิ่งพอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยการตัดพ้อแล้วยิ่งทำให้ฉันต้องกลืนคำด่านั้นลงไปเลยทีเดียว

"ก่อนฉันไปฉันขอทำพูดอะไรหน่อยได้ไหม" แม็กซ์มองหน้าฉันแปลกๆ ก่อนที่ฉันจะพยักหน้ามันก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

"แกนะกวางทั้งปากร้าย ขี้บ่น บางทีก็ซกมก ชอบทำตัวเหมือนผู้ชาย บางทีก็ตวาดแว๊ดๆ โดยไม่ฟังใคร แถมบางครั้งก็ชอบวางอำนาจ ชอบสั่งให้ทำนู่นทำนี่ บางทีก็เข้มงวดจนเกินพอดี ขอลอกการบ้านทีก็บ่นเป็นวัน ทำกับข้าวก็ไม่เก่ง งานบ้านก็ไม่ได้เรื่อง แกนะแทบจะไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย..."

เอ่อ.. ใครบอกฉันที ว่ามันจะจะหาเรื่องฉันใช่ไหม มันด่าค่ะ มันด่าฉันเป็นหางว่าวเลย ตอนนี้อารมณืฉันเริ่มกรุ่นๆ แล้วสิ อยู่ดีๆ มันมาด่ากันได้ยังไง

"แต่...." มันพูดคำนี้แล้วมันก็เงียบไป

"แต่อะไรพูดให้มันดีๆ นะเว้ย ไม่งั้นโดนถีบ" มันค้อนฉันค่า มันค้อน ผู้ชายหรือเปล่าว่ะเนี่ย ค้อนเสียวงเบ่อเร่อเลย

"อย่าขัดสิวะ" มันพูดเสียงขุ่นๆ เออ.. ได้ พูดมาดีๆ แล้วกัน

"ทั้งๆ ที่แกทำฉันรำคาญบ่อยๆ แต่ทำไมฉันถึงได้...รักแกได้ก็ไม่รู้ กวางฉันรักแก รักจริงๆ นะเว้ย ให้ดิ้นตายสิ" มันพูดจบฉันก็อ้าปากค้าง มองหน้ามันแบบไม่เชื่อหูตัวเอง ครั้งที่แล้วมันบอกว่าชอบ คราวนี้มันบอกว่ารัก ให้ตายสิ

"เอ้าๆ เดี๋ยวแมลงสาบก็เข้าไปบินในปากหรอก ฉันแค่อยากจะบอกรักแก...เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไปไกล เพราะฉันจะให้โอกาสแก ให้โอกาสตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ฉันอยากจะให้แกคิดให้ดีว่าแกชอบฉันบ้างสักนิดไหม ถ้าไม่ ฉํนขอไปไกลๆ สักพัก แล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม เข้าใจไหมป้า"

"เดี๋ยวแกจะโดนไม่ใช่น้อย แม็กซ์ บังอาจมาเรียกฉันว่าป้า ไม่อยากตายดีใช่ไหม" ฉันค้อนมันกลับ ให้ตายสิ มันกวนประสาทชะมัด เนี่ยเหรอมาบอกรักผู้หญิง

"แกยังไม่ต้องตอบตอนนี้หรอก ฉันให้เวลาแกไปคิด 1 สัปดาห์ แล้วฉันจะขึ้นไปถามที่รีสอร์ทแก เอากลับไปคิดแล้วกัน" แม็กซ์พูดจบก่อนที่ฉันจะกล่าวอะไรต่อไป "อ้อ ฉันขอให้แกคิดเฉพาะเรื่องฉันกับแก ไม่เกี่ยวกับปิ่น เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของฉันกับแกเท่านั้น ตกลงไหม?"

แม็กซ์พูดราวกับมานั่งในใจฉันอย่างงั้นแหละ ใช่ฉันกังวลเรื่องของปิ่น แต่ถ้าไม่มีเรื่องของปิ่นล่ะ ฉันจะคิดยังไง...
 

บรรยากาศในร้านวันนี้บางตา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เนื่องจากเป็นวันธรรมดา น้อยคนนักที่จะมานั่งกินข้าวตามร้านอาหารแบบนี้ วันนี้อากาศเย็นสบาย ทำให้ความคิดของฉันยิ่งล่องลอยไปไกล

ถ้าปิ่นไม่คบกับแม็กซ์ตอนนี้ เราจะเป็นยังไงกันนะ ฉันจะคบกับแม็กซ์ได้อย่างสบายใจหรือเปล่า เฮ้อคิดแล้ว..

"เจ๊จจจจจจจจจจจจจจจจจ"

"เฮ้ย จะมาตะโกนอะไรกันวะ" ฉันตวาดไอ้ปื้ดที่มาตะโกนที่ข้างหู

"โห่ เจ๊ ก็เรียกตั้งนานไม่ยักจะสนใจก็ต้องตะโกนอย่างนี้แหละ มานี่ดิ มาดูของดี" ไอ้ปื้ดพูดพลางฉุดกระชากลากถูฉันออกมาตรงหน้าร้าน

"เฮ้ยๆ อะไรวะ" ฉันเริ่มโวยวายเสียงดัง เพราะมันลากแบบไม่ยั้งเลยทีเดียว

"ชู่วววว เงียบดิเจ๊ เดี๋ยวพ่อไก่จะตื่น" หือ...พ่อไก่ ใครเป็นพ่อไก่กัน

แล้วไอ้ปื้ดก็ลากฉันมาหลบอยู่หลังเสาต้นนึงแล้วชี้ชวนให้ดูโต๊ะนึงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป และแล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ใบหน้าของฉัน ไอ้เก้งน้องชายจอมหวงพี่สาว ตอนนี้กำลังหน้าแดงอยู่กับผู้หญิงคนนึง จัดได้ว่าสวยเลยทีเดียว เสร็จฉันล่ะ ไอ้ลูกเก้ง
 
"สวัสดีค่ะ ฉันกวางเป็นพี่ของเก้ง ไม่ทราบว่าน้องชายตัวดีมากวนอะไรหรือเปล่าคะ?" ฉันพูดพลางมองหน้าเจ้าเก้งแบบกวนๆ

"เปล่าเลยคะ เก้งเสียอีก มาทำให้ฉันหายเหงา" คุณคนสวยพูดยิ้มๆ เล่นเอาน้องชายฉันหน้าแดงก่ำไปหมด น่าแกล้งจริงๆ เลย

"งั้นกวางขอนั่งด้วยคนนะคะ" ฉันถือวิสาสะนั่งลงไปที่ที่ว่างอยู่ แล้วยิ้มให้ทั้งสองคน ทำเหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่

ฉันนั่งคุยกับคุณคนสวยอยู่นาน พอจะจับได้ว่าเธออยากจะมานั่งคิดอะไรคนเดียวก็เลยหาร้านที่ค่อนข้างสงบและใกล้บ้าน และร้านของฉันก็ลงตัว เธอเล่าว่าเธอเพิ่งจะย้ายบ้านมาอยู่แถวนี้เมื่อไม่นาน แถมยังชมการตกแต่งร้านว่าสวยอีก เล่นเอาฉันซึ่งเป็นคนดูแบบตั้งแต่แรกอดที่จะปลื้มไม่ได้

"ว้า...คุยตั้งนานแล้วลืมถามชื่อเลยค่ะ เก้งก็ไม่แนะนำเลย" ฉันแกล้งตัดพ้อต่อว่าน้องชาย ทำให้เจ้าตัวดีทำหน้ามุ่ย

"เรียกว่าพิณก็ได้ค่ะ" เจ้าของชื่อพูดพลางระบายยิ้มให้

"งั้น...กวางขอตัวก่อนนะคะ เก้งดูแลแขกดีๆ ล่ะ" ฉันพูดจบก็เดินออกไปจากตรงนั้น เพราะไม่อยากจะทำลายบรรยากาศโรแมนติกของน้องชาย แกล้งกันพอหอมปากหอมคอ ประเดี๋ยวจะงอนไปเสียก่อน โชคดีน้า ไอ้น้องชาย
 
หลังจากที่คุณพิณกลับไปแล้ว ฉันก็ไปซักเจ้าเก้งหลายๆ อย่าง ไม่ยักรู้ว่าไอ้เก้งมีรสนิยมชอบผู้หญิงแก่กว่า แต่อย่างว่าแหละ เรื่องรักไม่เข้าใครออกใครนี่นา แล้วอีกอย่างคุณพิณก็สวยสุดๆ ไปเลย แถมยังพูดจาดี คุยสนุกอีกต่างหาก เป็นฉันฉันก็คงชอบ

"คุณพิณเขามีบางส่วนคล้ายเจ้นะ" เก้งพูดออกมาในตอนท้าย ทำให้ฉํนมองหน้ามันแปลกๆ แล้วก็หัวเราะออกมา ฉันเนี่ยนะเหมือนคุณพิณ เขาสวยจะตายไป

"เฮ้ย อย่าทำหน้าอย่างนั้นดิ เก้งหมายถึงนิสัย" เจ้าเก้งพูดพลางหน้าแดง

"ตรงไหน?" ฉันถามพลางโอบไหล่น้องชายสุดที่รัก

"ไม่รู้ดิ แต่เหมือน การพูดการจา ท่าทาง คล้ายๆ กัน"

ไม่รู้สิ ฉันรู้สึดปลื้มอกปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก การที่น้องชายชอบคนที่คล้ายๆ เรา นั่นหมายความว่า... เจ้าเก้งมันชื่นชมและรักฉันมากใช่ไหม แต่จะว่าไปฉันก็คุยกับคุณพิณถูกคอจริงๆ ท่าทางจะเข้ากันได้ด้วยดีถ้าได้มาเป็นน้องสะใภ้จริงๆ
 

หลังจากวันนั้น ฉันเองก็เก็บกระเป๋ากลับเชียงราย คิดๆ ไปก็ใจหายเหมือนกัน ฉันมองหน้าเจ้าเก้งที่ทำหน้าเหมือนหมาถูกทิ้งที่สนามบิน ฉันเข้าไปกอดน้องชายที่ร่วมสายเลือดเพียงครึ่งเดียว ก่อนที่จะลาพ่อเดินขึ้นเครื่องไปโดยที่ไม่หันกลับมามองอีกเลย เพราะฉันกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้กลางสนามบินให้ขายขี้หน้าประชาชี ก็บอกแล้วว่าฉันน่ะมันคนบ่อน้ำตาตื้นสุดๆ
 
เพียงไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ ไวกว่าฉันเดินทางในกรุงเทพเสียอีก ฉันลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมาที่สนามบิน ก่อนสอดส่ายสายตามองหาคนตัวใหญ่ที่บอกเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมารับอย่างหงุดหงิดใจ ฉันไม่ชอบการที่จะต้องมารอคอยใครโดยไม่จำเป็น อีกอย่างการที่เขาไม่มารับตรงเวลา ไม่สนใจ แสดงว่าเขาไม่ได้กระตือรือร้นที่จะมาเจอฉันเลยใช่ไหม

"มองหาพี่อยู่เหรอ" เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว แล้วหันไปมองเจ้าของเสียงอย่างโกรธๆ ...เล่นอะไรบ้าๆ ...

คนที่โดนฉันส่งสายตาพิฆาตไปให้ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แถมยิ้มกว้างให้อย่างอารมณ์ดี ราวกับถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ฉันเลยแถมค้อนให้อีกหนึ่งวง แล้วปล่อยกระเป๋าที่เขายื้อแย่งไปถือ โดยไม่ใส่ใจว่าเขาจะจัดการกับมันยังไงต่อไป

"อะไรกันแค่นี้โกรธเหรอ?" เขาถามพลางเร่งฝีเท้าให้ทันกับฉันที่ก้าวยาวๆ เดินไปยังที่จอดรถ แต่ไม่ทันไร ขายาวๆ ของเขาก็ก้าวมาทันฉัน มือใหญ่ๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมืออย่างรวดเร็ว ฉันหันไปมองกะว่าจะโวยเต็มที่ แต่พอสบตาที่ดูเหมือนว่าจะสำนึกผิดแกมตัดพ้อแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้

ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเราสองคน นอกไปจากภาษากายที่เรามีให้กัน ฉันเดินช้าลง ไม่เดินหนีเขาเหมือนเมื่อกี้ ส่วนเขาก็คลายข้อมือที่จับเอาไว้แน่น แล้วเลื่อนมาจับมือเล็กๆ ของฉันเมื่อเทียบกับมือของเขาแทน เพียงเท่านี้เราสองคนก็คืนดีกัน ...ช่างง่ายดายเสียนี่กระไร...
 
"หิวไหม หาอะไรกินก่อนไหมครับ" เขาหันมาถาม ราวกับว่าเมื่อกี้เราไม่ได้มีกริริยากระเง้ากระงอดกันอย่างนั้นแหละ

"กวางกินอาหารบนเครื่องแล้ว พี่ดินล่ะ"

"ยังเลย กะว่าจะรอกินพร้อมใครบางคน แต่เขาก็กินไปก่อนแล้ว" เขาพูดพลางส่งสายตาระยิบระยับมาให้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนตัวโตๆ จะอ้อนเป็น

"แล้วตาลูกหินไปไหนล่ะคะ" ฉันแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขา แล้วถามถึงลูกชายกำมะลอที่แสนน่ารัก

"ไปโรงเรียนสิครับ ความจริงก็อ้อนๆ จะมาเหมือนกัน แต่พี่ไม่ยอม"

"คนใจร้าย" ฉันแกล้งว่าเขา แต่คนใจร้ายก็หันมาทำหน้าน้อยใจใส่ นี่ฉันทำอะไรผิดอีกเนี่ย

"ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงก็ไม่มีสักนิด แถมมาว่าอีก" พูดจบคนตัวโตก็ทำหน้าเหมือนจะน้อยใจจริงๆ

"ใครว่าไม่คิดถึงล่ะคะ" ฉันเสียงเบา แต่คนตัวโตก็ยังแอบได้ยิน แล้วหันมายิ้มกว้าง โดยที่ฉันไม่ได้คิดสักนิดว่าคนตัวโตบางครั้งก็เจ้าเล่ห์เป็น
 
หลังจากที่พี่ดินมาส่งฉันที่รีสอร์ทแล้ว เขาก็ขอตัวกลับ เพื่อให้ฉันได้พักผ่อน โดยไม่ลืมทิ้งท้ายเอาไว้ว่า เย็นนี้จะมาใหม่พร้อมน้องลูกหิน ฉํนยืนยิ้มส่งเขา แล้วเลี้ยวเข้าบ้านตรงไปที่ห้องนอนทันที ด้วยความเหนื่อยล้า

หลังจากที่ได้อยู่คนเดียวในห้องที่คุ้นเคย ฉันก็ได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองสับสนเพียงใด เรื่องราวของแม็กซ์ที่กำลังรอคอยคำตอบจากฉัน เรื่องของพี่ดินที่กำลังเข้ามาทำความปั่นป่วนในจิตใจ และเรื่องของพี่คีที่ฉันใคร่รู้

ความจริงเรื่องพี่คีน่ะไม่เป็นปัญหาอะไรสักเท่าไหร่หรอก เพราะว่าฉันก็แค่เป็นห่วงพี่เขาในฐานะน้องสาวคนนึงที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่เรื่องของแม็กซ์กับพี่ดินนี่สิ เป็นปัญหา ฉันคิดยังไงกันแน่กับสองคนนั่น

ฉันหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เหนื่อยล้าทั้งใจทั้งกาย จะผิดไหมถ้าฉันจะบอกว่าฉันไม่เคยรู้สึกอะไรอยางนี้มาก่อน

แม็กซ์.. เพื่อนที่คบกันมาเป็นสิบปี เพื่อนคนที่เคยเป็นแฟนของเพื่อนรัก เพื่อนคนที่เคยแอบรัก และก็เป็นเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง และไม่เคยเรียกร้องอะไร จนกระทั่งมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตของฉัน ใครอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เหลือ
พี่ดิน... ผู้ชายที่แม่หามาให้ ผู้ชายที่อบอุ่นใจดี มีเสน่ห์ เขาก้าวมาในชีวิตแบบปัจจุบันทันด่วน และกำลังจะก้าวมาสู่หัวใจ กำลังเคาะประตูให้ฉันออกไปรับเขาเข้ามาในหัวใจ

ฉันควรจะทำอย่างไรดี? ในเมื่อฉันเองก็ไม่อยากสูญเสียใครไปสักคน แต่ก็ไม่มีทางที่จะทำอย่างนั้นได้ เพราะฉันก็มีคนเดียว ใจก็มีดวงเดียว แล้วคนที่ฉันรักล่ะ คือใคร....
 
"กวางๆ " เสียงแม่ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของฉัน ฉันค่อยๆ เลื่อนกายลงจากเตียงอย่างอ่อนแรง

"เดี๋ยวแม่จะเข้าเมืองเอาอะไรไหม?" ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ สงสัยท่าทางฉันจะไม่ค่อยดีล่ะมั้ง เพราะแม่กดคิ้วลงอย่างสงสัย จากนั้นก็เอาหลังมือแตะหน้าผากฉันเบาๆ

"ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา" แม่พูดเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง ทำให้ฉันยิ้มกว้างออกมา

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ กวางแค่เพลียๆ นอนสักพักก็หาย" แม่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะหอมแก้มฉันเบาๆ "แม่รักกวางนะ"

"กวางก็รักแม่ค่ะ"

หลังจากแม่ออกไป ฉันก็ไม่มีอารมณ์อยากจะนอนอีกแล้ว ฉันตัดสินใจไปอาบน้ำให้สดชื่นขึ้นกว่าเก่า แล้วออกไปขี่จักรยานเล่น คงจะดีกว่าอยู่เฉยๆ

ฉันไม่รู้เลยว่าการที่ความคิดล่องลอยไปไกลจะทำอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมได้ เคยมีเพื่อนของฉันคนนึงบอกว่าบางครั้งกลไกการทำงานก็ร่างกายก็ไม่ผ่านสมอง  ฉันก็เลยมายืนอยู่ตรงนี้นี่ไง... หน้าไร่ของพี่ดิน น่าแปลกทั้งๆ ที่เพิ่งจากกันไม่ถึงสองชั่วโมงดี แต่มันก็อยากเจอ ฉันเลี้ยวรถจักรยานเข้าไปในไร่อย่างไม่คุ้นเคย ความจริงฉันไม่ค่อยได้มาที่นี่เท่าไหร่ เพราะเขามักจะไปที่บ้านฉันมากกว่า ถ้านับกันจริงๆ นี่ก็เป็นครั้งที่ 2-3 ที่ฉันมาที่นี่

ที่นี่ก็เหมือนกับเจ้าของ แม้จะดูแข็งแรง แข็งกระด้าง แต่ก็ดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก มือที่หยาบกระด้างก็ยังดูนุ่มนวลในความรู้สึก  พี่ดินเป็นผู้ใหญ่ เหมือนพี่ชาย เหมือนพ่อ ทำให้ฉันอบอุ่นยามอยู่ใกล้ แม้ว่าบางครั้งเขาจะร้อนเป็นไฟ แต่เขาก็ไม่เคยไร้เหตุผล

ฉันเดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ ไปจนถึงใกล้ตัวบ้าน น่าแปลกที่ไม่ยักจะมีใครอยู่เลย ฉันมองไปรอบๆ ก็เห็นรถจอดอยู่คันนึง ไม่รู้ว่าเป็นของใคร สงสัยจะเข้าไปไร่กันหมด สงสัยจะมาเสียเที่ยว แต่ก็ช่างเถอะ มานี่ก็ไม่ได้อยากเจอใครนี่นา เฮ้อ.... ทำไมคิดมันง่าย แต่ไม่ให้รู้สึกเสียดาย และเสียใจมันยากอย่างนี้น้า

ฉันเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกดังขึ้น ทำให้ฉันขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เสียงผู้หญิงคุ้นหูกับเสียงพี่ดิน ฉันไม่มีทางจำผิดแน่นอน ฉันเหลือบมองไปก็เห็นพี่ดินนั่งคุยกับคุณแบม แค่เห็นเขาคุยกันอย่างมีความสุข หัวใจของฉันก็ปวดหนึบขึ้นมา ทั้งๆ ที่พยายามทั้งขู่ทั้งปลอบตัวเองว่าอย่าไปรู้สึกอะไร เขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน และเราก็ไม่มีทางที่จะรักกัน แต่ทำไมฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย

ฉันมองเขาคุยกันสักพัก คุณแบมก็คว้ามือพี่ดินมาจับเล่น พี่ดินก็ไม่ว่า แถมยังหัวเราะออกมาอย่างสดใส ตอนนี้ฉันพอเข้าใจความรู้สึกของคุณเพลง แม่น้องลูกหินแล้วล่ะ ว่าเวลาที่เห็นภาพอย่างนี้แล้วมันรู้สึกอย่างไร เห็นแค่ครั้งเดียวยังเจ็บขนาดนี้ ถ้าเห็นบ่อยครั้งเข้าจะเจ็บขนาดไหน

"อ้าวคุณกวางมาทำอะหยังตรงนี้เจ้า" เสียงเรียกจากสร้อยทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว แล้วพยายามหันไปยิ้มให้สร้อยฟ้าอย่างสุดความสามารถ แม้จะรู้ว่ามันคงจะจืดเจื่อนเต็มที

"มาขี่จักรยานเล่นน่ะจ๊ะ ว่าจะไปอยู่พอดี" ฉันตอบไปด้วยใจที่ยังสั่นไม่หาย

"แล้วเจอะพ่อเลี้ยงหรือยังเจ้า ให้ข้าเจ้าไปตามให้ไหม" สร้อยยังคงถามไม่เลิก

"ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก" พูดจบฉันก็เดินออกไป

ระหว่างทางที่ฉันขี่จักรยานออกมา ฉันอดที่จะหวังให้ใครบางคนออกมาตามฉันไม่ได้ แต่ก็ไม่มี ฉันเดินออกมาตามลำพัง และไม่มีใครที่เรียกฉันให้หันหลังกลับไป ฉันคงไม่มีความหมายอะไรกับเขาจริงๆ คำที่เขาเคยบอกฉันก็เป็นเพียงแค่ลมปากของผู้ชายคนนึงที่เอาไว้หลอกผู้หญิงโง่ๆ ให้หลงรัก ฉันมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
 
ตอนเย็นฉันตัดสินใจไม่ลงไปกินข้าว ไม่พบใคร โดยบอกกับแม่ว่าฉันไม่ค่อยสบาย แม้แต่น้องลูกหินฉันก็ไม่ยอมให้เข้ามาหา เพราะฉันรู้ดีว่า หากน้องลูกหินมาก็ต้องพ่วงเอาใครอีกคนเข้ามาด้วย แล้วตอนนี้ฉันไม่พร้อมที่จะเจอหน้าใคร ฉันอยากจะพักหัวใจให้อาการปวดมันหายไปเสียก่อนที่จะเจอหน้าเขา

ตอนนี้ฉันรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่พยายามบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าไปรักเขา แต่ทำไมหัวใจมันกลับไม่เชื่อฟังเสียเลย ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งถลำไปไกล ยิ่งรู้ว่าเป็นของต้องห้าม กลับเป็นสิ่งที่หัวใจโหยหา ทำไมนะ หัวใจถึงไม่เชื่อฟังสมองเอาเสียเลย ทำไมกันฉันเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ารักเขาเข้าเต็มหัวใจ รักอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน
 
วันรุ่งขึ้นฉันตัดสินใจไปหาพี่คีแต่เช้า ทั้งๆ ที่เมื่อคืนฉันได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง เพราะไม่ว่าหลับตาหรือลืมตาก็เห็นแต่หน้าของเขาเต็มไปหมด บางทีการไปคุยกับพี่คีอาจจะทำให้จิตใจของฉันสงบลง อาจจะเป็นเพราะเขาผ่านอะไรมาเยอะในเรื่องของความรัก ทำให้เขารู้จักและเข้าใจคุณค่าของรักยิ่งกว่าใคร

กว่าฉันจะไปถึงบ้านพี่คีก็เกือบๆ เที่ยง เพราะฉันหลงไปนู่นมานี่ เนื่องจากความไม่ชินทาง ต้องถามทางให้วุ่นไปหมด แถมเจ้าของบ้านก็ไม่ยอมเปิดโทรศัพท์...เหมือนเคย ทำให้ฉันต้องโทรไปถามพี่ภูบ้าง ถามคนแถวนั้นบ้าง แต่ในที่สุดฉันก็มาถึงจนได้

บ้านไม้หลังย่อมอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่นัก แต่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์กลับทำให้บ้านหลังนี้ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด รั้วไม้เตี้ยๆ ถูกทาด้วยสีขาวยิ่งเสริมให้บ้านนี้ดูดีขึ้น

"พี่คีคะ" ฉันเรียกเจ้าของบ้านเสียงดัง หวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่าจะไม่ใช่บ้านที่ต้องการหา ฉันเรียกอยู่สองสามครั้ง เจ้าของบ้านก็เดินออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจกึ่งตกใจ

"กวางมาได้ไง?"

"ขับรถมา" ฉันตอบยิ้มๆ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรมา เห็นหน้าพี่ชายคนนี้ก็ยิ้มออกได้ทุกทีเลยสิน่า

"กวนนักนะเรา เข้ามาก่อนสิ กินข้าวหรือยัง?" พี่คีถามพลางขยี้ผมฉันเบาๆ

อาหารมื้อนั่นเป็นอาหารที่เรียบง่ายที่สุดมื้อหนึ่ง มีไข่เจียว ไข่ตุ๋นแล้วก็ไข่ต้ม ฝีมือฉันกับพี่คี พวกเราสองคนนั่งคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปสักพัก พี่คีก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเสียจนไม่รู้ว่าพี่คีกำลังคิดอะไรอยู่

"ไอ้ภูเล่าเรื่องแพรวให้ฟังใช่ไหม?"

ฉันมองหน้าพี่คีที่ไม่บอกอารมณ์ใดๆ ก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ

"พี่ไม่เป็นไรหรอก เพราะพี่ทำใจได้แล้ว พี่มาที่นี่เพราะอยากมา พี่มาเพราะพี่รู้สึกอุ่นหัวใจ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก" ดวงตาพี่คีบอกกับฉันว่าพี่คีคิดและรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ใช่โกหกเพื่อให้ฉันสบายใจ ทำให้ฉันยิ้มออกมาได้อย่างกว้างขวาง

"ว่าแต่เราน่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ตาช้ำๆ ยิ้มแปลกๆ ไปยังไงไม่รู้ หึ..ว่าไงคะ"

เมื่อเจอถามตรงๆ แบบนั้น ฉันก็อดที่จะเศร้าใจไม่ได้ ภาพเมื่อวานไหลย้อนกลับมาในห้วงของความคิด ก่อนที่หยาดน้ำตาใสๆ จะไหลออกมา ฉันนั่งร้องไห้เงียบๆ พี่คีก็ไม่ทำอะไรนอกจากดหัวฉันเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ

"ไปเที่ยวกันดีกว่า" พี่คีดึงฉันให้ลุกขึ้น แล้วดุนหลังฉันไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา โดยไม่ถามฉันสักคำว่าฉันร้องไห้เพราะอะไร

พี่คีพาฉันไปไหว้พระ แล้วก็พาไปกินนู่นกินนี่ ซื้อของฝาก แถมตอนเย็นยังพาไปช็อปปิ้งอีกต่างหาก น่าแปลกที่ทุกครั้งเมื่อได้กินอาหารอร่อยๆ ได้เดินดูของแล้วใช้เงินจับจ่ายแล้วอารมณ์ของฉันกลับดีขึ้นมาอย่างประหลาด แถมรอยยิ้มที่จริงใจจากคนข้างๆ ทำให้จิตใจดีขึ้นจมเลย

"พี่คีค่ะ กวางถามอะไรหน่อยได้ไหม?"

"เอาสิ" พี่คีพูดอย่างไม่ได้สนอกสนใจอะไรมากมาย

"ทำไมพี่คีถึงรู้ว่า...รักคุณแพรว" คำถามนั้นทำให้พี่คีดูนิ่งเงียบไป ก่อนที่จะเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฉันรู้ว่าพี่คีรักคุณแพรวมากเหลือเกิน

"แพรวทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตพี่ขาดแพรวไม่ได้ เมื่อเรารู้สึกว่าเราขาดใครสักคนไม่ได้ ไม่อยากให้เขาเป็นของใคร ไม่อยากให้เขามองตาใคร ไม่อยากให้เขายิ้มให้ใคร นอกจากเราคนเดียว พี่ก็เลยรู้ว่าพี่กำลังรักผู้หญิงคนนี้..." พี่คีหันมามองหน้าฉันและพูดประโยคต่อไปด้วยแววตาและสีหน้าที่เข้าใจ "...กำลังคิดอยู่เหรอว่ารักคุณดินหรือเปล่า"

คำพูดตรงไปตรงมาตามประสาพี่คีทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกๆ เอ่อ ไม่ทราบว่าเป็นหมอดูหรือว่านักจิตวิทยาถึงได้รู้ใจกันขนาดนั้น พี่คีนะพี่คีไม่น่าถามอย่างนี้เลย

"เรื่องความรักไม่เห็นต้องไปคิดมากเลยกวาง ปล่อยให้มันนำเราไป อย่าไปกังวลอย่าไปสนใจ อย่าไปฉุดรั้งมันเอาไว้ แม้ว่าตอนท้ายมันต้องเจ็บ แต่ก็ยังดีที่ได้รัก เพราะความรักแม้มันจะมาพร้อมความทุกข์ แต่มันก็มีความสุขและอบอุ่นที่หัวใจ จริงไหม? ไป..กลับกันเถอะ วันนี้เรานอนที่โรงแรมที่นี่คืนนึงแล้วกัน กลับไปเชียงรายตอนนี้มีหวังได้ขับรถตกเขากันบ้างล่ะ"

ฉันยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะตามพี่คีไปขึ้นรถ อยู่ที่เชียงใหม่สักคืนก็ดีเหมือนกันจะได้คิดอะไรที่มันสับสนว้าวุ่นอยู่ให้ตกเสียที... แล้วพรุ่งนี้ฉันก็อาจจะมีคำตอบ.....ของหัวใจ

Enter supporting content here