pue's tales ; tales from pue
My Dear 3
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

 
 
 
ตอนที่ 3

 "ลูกหินจะอยู่กับพี่กวาง ลูกหินไม่ไปกับพ่อ พี่กวางรักลูกหินไหมครับ?" เอาล่ะสิ จะตอบว่าไม่รักก็ไม่ได้ มาไม้นี้เล่นฉันขนลุกเลยทีเดียว
 
 "รักสิครับ แต่วันนี้ลูกหินต้องกลับไปกับคุณพ่อก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่ดีไหมครับ" ฉันพยายามปลอบประโลมเด็กชาย ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันอาจจะไม่ได้ผล เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ปริมาณความน้อยใจของเจ้าหนูน้อยมันมีมากเหลือเกิน แต่ยังไงๆ ก็ต้องให้น้องลูกหินกลับไป เพราะถ้าคืนนี้น้องลูกหินนอนที่นี่รอยร้าวมันอาจจะกว้างขึ้นก็เป็นได้
 
 เมื่อเห็นว่าฉันทำท่าจะใจแข็งเจ้าหนูแสนรู้ก็หันหน้าไปทางแม่ฉันทันที แล้วก็โผเข้าหาอย่างหาที่พึ่ง แม่ฉันก็เหมือนฉันเนี่ยแหละ หัวใจอ่อนแอกับเด็กตัวน้อย

 "คุณยายครับให้ลูกหินนอนด้วยนะครับ ลูกหินอยากฟังคุณยายเล่านิทาน" แม่ทำหน้าลำบากใจนิดนึงก่อนที่จะมองไปทางพ่อเลี้ยงเป็นเชิงถามว่าจะให้ทำยังไง

 "ลูกหินรบกวนเปล่าๆ ลูก กลับบ้านเรา" เขาพูดพลางเดินมาหาลูกชายของเขา พยายามที่จับไม้จับมือ แต่บทน้องลูกหินจะดื้อก็ไม่เบาเหมือนกัน แกสะบัดมือไม้วุ่นไปหมด น้ำตาก็ไหลมานองหน้า

 "ไม่มีใครรักลูกหินเลย ลูกหินคิดถึงแม่" พูดแล้วเจ้าหนูน้อยก็ร้องไห้โฮ เล่นเอาฉันปวดหัวตึบไปเลย

 โอเค..ก็ได้ เล่นไม้นี้ใช่ไหม เล่นไม้นี้ ฉันก็...ใจอ่อนน่ะสิ เฮ้อ เอาไว้ถ้ากลางคืนร้องหาพ่อแล้วจะพาไปส่งก็แล้วกัน

 "พ่อเลี้ยงฝากไว้ที่นี่ก่อนก็ได้ค่ะ ยังไงแม่กับพ่อเลี้ยงก็สนิทกัน คงไม่มีปัญหา" ฉันพยายามไม่เอาตัวเองไปสนิทด้วย ไม่ได้หรอกเดี๋ยวจะเข้าตัว พ่อเลี้ยงถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะผละจากเทวดาตัวน้อยที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นปีศาจเจ้าเล่ห์ไปเสียแล้ว

 "งั้นผมฝากด้วยแล้วกัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาผมได้ทุกเวลา" ฉันพยักหน้าให้เขา แล้วพ่อเลี้ยงก็ขับรถออกไปพร้อมๆ กับคุณแบม สงสัยตอนนี้ตาลูกหินจะน้อยใจจนลืมที่จะกันพ่อจากคุณแบมเสียแล้ว ฉํนคิดไปก็แอบขำคนเดียงเงียบๆ เอาเถอะ คืนนี้ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปก่อนแล้วกัน
 
 หลังจากจัดการอะไรเรียบร้อย ตาลูกหินก็ไปนอนกับแม่ฉัน เพราะแม่เอานิทานเข้าล่อ อย่างที่บอกน่ะแหละว่าแม่ฉันเป็นนักเล่านิทานที่เยี่ยมยอดที่สุดเลย ไม่แปลกหรอกที่ตาลูกหินจะติดใจ ส่วนฉันน่ะเหรอ ไม่ได้แม่มาสักกระผีกเดียว พอฉันราตรีสวัสดิ์แม่กับน้องลูกหินแล้ว ฉันก็กลับเข้าห้องนอนอย่างเหนื่อยอ่อน

 ฉันนอนแผ่หราบนเตียง วันนี้นอกจากเหนื่อยกายแล้วต้องเหนื่อยใจอีกต่างหาก ฉันสังหรณ์อะไรลึกๆ ว่าต้องตกอยู่ในบ่วงของสองพ่อลูกนี้ไม่มีวันจบสิ้น ใช่ว่าฉันไม่ชอบน้องลูกหินหรอกนะ แต่ดื้อแพ่งอย่างนี้ทุกวันฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไหนจะอีตาพ่อเลี้ยงอีก เพราะถ้าฉันสนิทกับตาลูกหินมาก โอกาสที่ต้องสนิทกับอีตาพ่อเลี้ยงก็มีมากตาม

 ฉันนอนแผ่หราไปได้สักพัก ปิ่นก็เดินออกมาจากห้องน้ำ วันนี้ฉันล่ะหมั่นไส้มันจริงๆ มีความสุขกับพี่ภูอยู่สองคน ปล่อยให้ฉันปวดหัวอยู่คนเดียว ฉันมองยัยปิ่นเช็ดหัวเช็ดหางอยู่นาน มันเป็นภาพที่ฉันเห็นจนชินตา แต่ต่อจากนี้มันจะไม่มีอย่างนี้บ่อยๆ แล้ว พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็ถอนหายใจยาว

 "ใจหายจังเนอะ" ฉันเปรยขึ้นมาขณะนอนอยู่บนเตียง แล้วหงายหน้ามองเพดานที่ดูเหมือนจะมั่นคงเหลือเกินในเวลานี้ คำพูดของฉันทำให้ปิ่นหันมามองแล้วก็ยิ้มบางๆ

 "ใช่ว่าจากกันแล้วไม่ได้เจอกันอีกเสียที่ไหน" มันพูดอย่างนั้น แต่ฉันก็รู้ว่ามันเองก็ใจหายเหมือนกัน ฉันกับปิ่นเป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าใครอ่อนแออีกคนจะต้องทำเป็นเข้มแข็งเพื่อพยุงกันและกันให้ผ่านพ้นอุปสรรค เมื่อครั้งนี้ฉันแสดงความอ่อนแอออกมาก่อน มันเองก็จำเป็นต้องเข้มแข็งทั้งๆ ที่มันเองก็ใจหายไม่แพ้กัน

 ฉันกับปิ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างจะตรงกันข้ามกันในความรู้สึกของคนอื่น แต่สำหรับเราสองคน พวกเรานิสัยคล้ายกันเป็นที่สุด คนภายนอกจะมองว่าฉันเป็นคนแข็ง แต่ปิ่นเป็นคนอ่อนหวาน หารู้ไม่ว่ายัยปิ่นน่ะสุดยอดความเข้มแข็งเลย มันได้รับการถ่ายทอดมาจากตากับยายของมัน ส่วนฉันเองก็จำเป็นต้องสร้างเกราะแข็งๆ มาป้องกันตัวเอง

 "เดี๋ยวแกจะไปบ้านพี่ภูต่อใช่ไหม?" ฉันถามทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ปิ่นพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะทำสีหน้ากังวล

 "ฉันกลัวพ่อแม่พี่ภูจัง เขาจะว่าฉันตามผู้ชายไปถึงบ้านหรือเปล่า?"

 "บ้า เขาจะคิดน่ะสิ ว่านี่ตัวจริงของลูกชายเขา แกไม่ต้องกังวลหรอก เออเดี๋ยวฉันให้พี่ไผ่ไปส่งละกัน"

 "ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันนั่งรถทัวร์ไปก็ได้" เอาแล้วไงยัยปิ่น เกรงใจไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว

 "นี่ เพื่อนกันเกรงใจอะไรกันว่ะ" ฉันว่ามัน

 "ฉันไม่ได้เกรงใจแก ฉันเกรงใจพี่ไผ่ต่างหาก" ปิ่นแก้คำผิดของฉัน เออ..ท่าจะจริง เพราะหลังๆ มานี้เราสองคนหมดจากคำว่าเกรงใจกันไปนานแล้ว อยู่กันจนรู้ไส้รู้พุงกันหมด มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม

 "ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ตบรางวัลพี่ไผ่เอง ไม่ต้องห่วง แกก็เหมือนลูกสาวแม่คนนึง แม่เขาไม่ปล่อยให้แกลำบากหรอก พี่ไผ่แกก็ชอบ ได้ขับรถเที่ยว แกเบื่อรีสอร์ทจะตาย" ฉันพูดติดตลกก็จริง แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น แม่ทำเหมือนกับว่าคลอดยัยปิ่นอีกคนไม่มีผิด บางทีก็ไปเข้าข้างปิ่นมากกว่าฉันด้วย เนี่ยเห็นถามๆ ปิ่นด้วยว่าอยากมาอยู่ที่นี่ด้วยไหม แม่เลี้ยงไหว

 หลังจากคุยกันเรื่องการเดินทางของปิ่นในวันพรุ่งนี้แล้ว พวกเราก็คุยถึงวีรกรรมสมัยเรียนมัธยมกัน พวกเราหัวหกก้นขวิดกันใช่น้อย วิ่งหนีอาจารย์ตอนโดดเรียน มาสาย แอบไปเหล่หนุ่มเล่นบาส เลือกของขวัญวันวาเลนไทน์ให้หนุ่มๆ ด้วยกัน ในปีที่เหงาๆ ก็เลี้ยงวันเกิดกันสองคน

 ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราสองคนหลับกันไปเมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกที ปิ่นก็กำลังจะออกจากรีสอร์ทไปเสียแล้ว ฉันพยายามกลั้นน้ำตา แต่ฉันไม่สามารถบังคับเสียงให้สั่นได้ ปิ่นเองก็เช่นกัน ฟังดูแล้วเหมือนเรื่องตลกที่โตป่านนี้แล้วมาร้องไห้ตอนที่จะจากกันยังกับเป็นเด็กๆ แต่เวลาเราสองคนมีเหตุต้องจากกันทีไร เป็นต้องบ่อน้ำตาแตกทุกที ตอนปิ่นไปอังกฤษก็ทีนึงแล้ว

 วินาทีที่ปิ่นเดินออกไปจากรีสอร์ทฉันรู้สึกโหวงๆ บอกไม่ถูก ทำอะไรไม่ได้นอกจากซุกหน้าร้องไห้กับไหล่ของแม่ น่าอายจริงๆ

 
 "ลูกหินจะอยู่เป็นเพื่อนพี่กวางครับ" เสียงน้องลูกหินพูดอย่างหนักแน่น เมื่อพ่อเลี้ยงบอกกับน้องลูกหินว่าให้กลับบ้านได้แล้ว "คุณพ่อไม่สงสารพี่กวางเหรอครับ พี่ปิ่นไปพี่กวางคงเหงาน่าดู ลูกหินจะนอนเป็นเพื่อนพี่กวาง"

 น่ารักจริงๆ เลยเด็กอะไรเนี่ย ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ของน้องลูกหินถึงทิ้งแกได้ลง ถึงจะเป็นเพราะทนคนพ่อไม่ไหวก็เถอะ

 "ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่กวางอยู่ได้ น้องลูกหินไม่กลัวคุณพ่อเหงาเหรอครับ" แม้ว่าจะน่ารักแค่ไหน แต่ฉันก็อยากให้แกกลับบ้านอยู่ดี ไม่ใช่เพราะรังเกียจรังงอนอะไร แต่เพราะฉันสงสารอีตาพ่อเลี้ยงที่ทำหน้าตาเหมือนหมาโดนเจ้าของทิ้งอยู่แถวนี้

 "แต่..." น้องลูกหินพูดพลางทำหน้าตาสลด ทำให้ฉันมองหน้าแกด้วยความสงสัย

 "แต่อะไรครับ?" ฉันถาม

 "แม่เพลง ก่อนที่แม่จะจากลูกหินไป แม่ก็ร้องไห้ ร้องไห้เหมือนพี่กวางเลย"

 คำพูดของน้องลูกหินทำให้ฉันกับพ่อเลี้ยงมองหน้ากันอย่างอัตโนมัติ เรื่องของแม่แกคงจะฝังใจแกมาก นึกแล้วก็สงสาร แกก็ตัวเท่านี้เอง

 
 "ฉันขอถามอะไรคุณอย่างนึงได้ไหมคะ?" ฉันพูดขึ้น เมื่อเหลือเพียงฉันกับพ่อเลี้ยงนั่งอยู่ที่ระเบียงบ้าน ส่วนน้องลูกหินก็ไปเล่นแถวๆ สวนดอกไม้กับเด็กๆ ที่รีสอร์ทฉัน ส่วนแม่ก็เข้าไปดูแลลูกค้า
 
 "ครับ" เขาตอบรับเพียงคำเดียวสั้นๆ เป็นการอนุญาต

 "แม่ของลูกหินไม่เคยมาเยี่ยมแกเลยเหรอคะ?.....ตั้งแต่เธอออกไปจากบ้าน" ฉันกลั้นใจถามออกไป ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม

 พ่อเลี้ยงส่ายหัวเบาๆ แทนคำตอบ ก่อนที่จะมองหน้าฉัน "ขอผมถามบ้าง ทำไมคุณถึงสนใจเรื่องลูกหินกับผมนัก "
 
 คำถามของพ่อเลี้ยงเล่นเอาฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา นั่นสินะ ทำไมฉันถึงเอาใจใส่เรื่องนี้ขนาดนี้ ทำไมฉันถึงคิดว่าฉันทิ้งตาลูกหินไปไม่ได้ คำตอบของคำถามมีอยู่อย่างเดียว.....

 "แม่ทิ้งฉันไปตอนที่ฉันอายุเท่าๆ กับตาลูกหินนี่แหละค่ะ" ฉันหยุดพูด และสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เพื่อเรียกความเข้มแข็งออกมาใช้ เพราะการที่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง มันก็เท่ากับการไปสะกิดแผลเก่าขึ้นมา

 "ครับ?" เขาพูดเป็นเชิงให้ฉันพูดต่อ ตอนนี้ฉันไม่กล้า...แม้แต่จะมองหน้า หรือสบตากับเขา ฉันจึงมองเหม่อไปไกลตามแนวเส้นขอบฟ้า

 "ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่ ภาพก่อนที่แม่จะจากไปก็เป็นภาพที่เลือนลาง ฉันจำได้ไม่ถนัดนักหรอก แต่รู้สึก...แค่รู้สึกว่าแม่มาจูบหน้าผากฉันเบาๆ แต่พอฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็ไม่เจอแม่อีกเลย"

 "กวางรู้สึกยังไง?" ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาถามฉันเพราะเป็นห่วง หรือว่าถามเพราะอยากรู้ความรู้สึกของตาลูกหิน แต่ฉันก็อยากให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่โดนแม่ทิ้งไป

 "ตอนนั้นฉันร้องไห้หาแม่ พ่อเองก็ไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายต้องให้ย่ามาช่วยดู และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน พ่อก็พาแม่ใหม่ พร้อมกับน้องเตัวเล็กๆ เข้ามาในบ้าน ทำให้ฉันรับรู้ได้ว่า..ทำไมแม่ถึงจากไป"

 ฉันไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าฉันพูดออกไปด้วยสีหน้าและแววตาแบบไหนกัน ฉันรู้เพียงแต่ว่าเสียงของฉันสั่นไหว ในใจก็รู้สึกเจ็บแบบแปลกๆ ความเย็นยะเยือกเริ่มเข้ามาครอบคลุมจิตใจ

 "ผมกับแม่ของลูกหินตอนที่ผมไปเรียนที่อเมริกา เธอสวยและน่ารัก จนผมตกหลุมรักเธอทันทีเมื่อแรกเห็น เราก็คบกันมาเรื่อยๆ และพอกลับมาเมืองไทย ผมก็ไปมาระหว่างกรุงเทพกับเชียงราย จนในที่สุดผมทนไม่ไหวที่จะต้องอยู่ห่างกัน ผมจึงขอเธอแต่งงาน เราก็รักกันดี จนกระทั่งเธอมาอยู่ที่นี่ เธอเริ่มไม่ชอบแบม แล้วปัญหาทุกอย่างก็เริ่มต้นตรงนั้น"

 ฉันฟังเขาเงียบๆ แม้ว่าเขาจะไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ในแววตาของเขาก็ยังคงมีความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ ฉันแตะไหล่เขาเบาๆ อย่างที่ชอบทำกับเพื่อนผู้ชาย เวลามันรู้สึกแย่ๆ

 "แล้วไงต่อคะ" ฉันถามเบาๆ ฉันอยากให้เขาเล่าออกมาให้หมด ไม่ใช่เพราะว่าฉันอยากรู้อะไรมากมาย ฉันต้องการให้เขาระบายออกมา ไม่ใช่เก็บเอาไว้คนเดียว

 "แบมเป็นเพื่อนของผมตั้งแต่สมัยมัธยม และเธอก็นิสัยดี แล้วคุณจะให้ผมไล่เธอไปได้ยังไง เพลงบอกผมเสมอว่า แบมชอบผม และเธอก็ไม่ชอบแบม ทีแรกก็แค่บ่นกับผมเฉยๆ แต่พอนานๆ เข้า ก็กลายเป็นพูดเสียดสี จนผมทนไม่ได้ต้องปรามบ่อยๆ หลายครั้งที่เราต้องขึ้นเสียงกัน แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าบอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ จนในที่สุด เธอก็ทนไม่ไหว ขอเลิกกับผม และผมก็หยิ่งเกินกว่าที่จะขอร้องให้เธออยู่"

 พ่อเลี้ยงทอดเสียงเศร้า ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูสลดหดหู่ไปด้วย

 "คุณคงรักเธอมาก" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

 "รักมาก...เท่าที่ผู้ชายคนนึงจะรักผู้หญิงคนนึงได้" คำตอบของเขาทำให้ฉันนิ่งอึ้ง ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมฉันถึงต้องอึ้ง อาจเป็นเพราะคำตอบของเขาที่ทำให้ฉันคนที่ไม่เคยเชื่อคำว่า "รักแท้" รู้สึกได้ลางๆ ของความรักแท้ของเขา

 "คุณเคยลงไปตามเธอไหม" ฉันถามต่อด้วยความอยากรู้

 "เคย แต่เธอไม่ยอมพบผม เธอบอกว่าถ้าผมยังไม่เลิกยุ่งกับแบมก็ไม่ต้องมาพูดกัน" พอพูดถึงตอนนี้ พ่อเลี้ยงถอนหายใจยาว

 "คุณนี่เป็นพระเอกไม่ได้เลยนะ" จู่ๆ ฉันก็พูดติดตลกขึ้นมา ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด ก็เพราะมันดูเครียด ฉันจึงอยากผ่อนคลายมันลงมา เพราะฉันไม่อยากให้คืนนี้มีใครสักคนระหว่างฉันกับพ่อเลี้ยงที่จะนอนไม่หลับ

 "พระเอก?" เขามองหน้าฉันด้วยความแปลกใจ

 "ก็....พระเอกน่ะ มักจะไม่พูดอะไร เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียว ไม่เปิดเผย ต้องดูลึกลับ ไม่ยิ้ม โดยเฉพาะพระเอกที่เป็นพ่อเลี้ยง" ฉันพูดยิ้มๆ ตาเหม่อมองพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยตัวลงต่ำ แสงสีส้มเริ่มอาบผืนดิน

 พ่อเลี้ยงมองฉันงงๆ สักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เล่นเอาฉันหัวเราะตามไปด้วย

 "ถ้าผมเป็นพระเอก คุณก็ต้องเป็นนางเอกน่ะสิ" เขาพูดไปหัวเราะไป แต่คำพูดของเขาทำให้ฉันชะงักงันทันที ตาพ่อเลี้ยงบ้านี่พูดอะไรก็ไม่รู้

 ฉันเหล่ตามองเขาที่อมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความจริงจัง แต่ก็ดูนุ่มนวล

 "เพราะคุณเปิดใจกับผมต่างหาก ผมก็เลยไว้ใจคุณ"

 คำพูดของเขาทำให้ฉันทำอะไรไม่ได้มากนอกจากส่งยิ้มให้เขาไปอย่างบางเบา อย่างที่ฉันเรียนมาแหละนะ ถ้าอยากให้ใครไว้ใจเรา เราก็ต้องไว้ใจเขาก่อน

 ก่อนที่เราจะพูดอะไรกันมากกว่านี้ แม่ก็ตามให้ไปกินข้าว น่าแปลกที่วันนี้ฉันไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหมือนกับเมื่อวันก่อนๆ ที่มีเขามานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่บ้านของฉันในเวลาอาหารเย็น ฉันไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้ฉันคิดยังไงกับเขา ฉันรู้อย่างเดียวในแววตาของเขา นั่นก็คือ...เขากำลังเหงา...เหงาไม่แพ้น้องลูกหิน แต่ก็ต้องทำเป็นเข้มแข็ง และสิ่งที่ฉันรู้ต่อมาก็คือ ฉันไม่อยากปล่อยให้เขาเหงา ไม่ใช่เพราะฉันตกหลุมรักเขา แต่เพียงเพราะฉันรู้...รู้ว่าความเหงามันน่ากลัวมากแค่ไหน
 
 "มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดหรอกค่ะ" ฉันพูดขณะที่กำลังช่วยแม่เตรียมเสบียงไปเที่ยวกับพ่อเลี้ยงและน้องลูกหินที่เชียงใหม่ การเที่ยวครั้งนี้มันเป็นคำแนะนำของฉันเองแหละค่ะ ฉันบอกพ่อเลี้ยงให้พาตาลูกหินไปเที่ยวบ้าง ใครจะไปคิดว่ามันจะเข้าตัวอย่างนี้ ไอ้ครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนต้นคิดนี่นา ยิ่งมีเสียงใสๆ ของน้องลูกหินพูดขอให้ไปด้วย แถมยังแววตานั่นอีก ฉันเลยไม่มีคำตอบอื่น นอกจากคำว่า "ตกลง"

 "แม่ก็เปล่าว่าอะไรนี่จ๊ะ" แม่พูดนิ่งๆ แต่ตาเป็นประกายวิบวับ ใช่ค่ะ แม่ไม่ว่า แต่แม่ยินดีต่างหาก ฉันน่ะลืมไปสนิทเลย ว่าแม่กำลังจับคู่ให้ฉันกับพ่อเลี้ยงอยู่

 "แม่คะ หนูไม่ได้ชอบพ่อเลี้ยง และหนูก็ไม่ชอบที่แม่มาจับคู่ให้อย่างนี้ด้วย" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง มันอาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้แม่หันมามองฉันด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย ทำให้ฉันรู้สึกผิดที่ทำให้แม่ผิดหวัง

 "แม่แก่แล้วนะกวาง แม่อยากให้ลูกแม่เป็นฝั่งเป็นฝา ได้อยู่กับคนดีๆ และแม่ก็คิดว่าแม่มองคนไม่ผิด" แม่พูดเสียงอ่อย "กวางอาจจะรำคาญแม่ แต่แม่อยากให้กวางรู้เอาไว้ว่าแม่รักและหวังดี ถ้ากวางรำคาญแม่..."

 ฉันยอมให้แม่พูดได้แค่คำนั้นแหละค่ะ เพราะตอนนี้ฉันเข้าไปกอดแม่แล้ว ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นกับแม่เลย แต่ฉัน.....ฉันกำลังจะแก้ตัวอะไรนะ ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรทำให้แม่ผิดหวัง แต่ฉันก็ยังไม่อยากที่จะคบกับใคร

 "กวางรักแม่นะคะ และไม่เคยรำคาญแม่ด้วย แต่เรื่องพ่อเลี้ยงเราปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้เหรอคะ เมื่อถึงเวลากวางจะเลือกเอง อีกอย่างกวางอยากอยู่กับแม่ด้วย...นะคะ?"

 แม่ไม่ตอบแต่ก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะพูดประโยคที่แทงใจดำของฉันที่สุด "แม่ก็ห่วงน่ะกวาง กลัวว่าลูกจะเห็นพ่อกับแม่แยกทางกันก็เลยไม่อยากที่จะคบกับใคร เพราะยังฝังใจ"
 
 
 "เป็นอะไรไปหรือเปล่ากวาง" พ่อเลี้ยงถามฉันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาคนที่คิดอะไรเพลินๆ อยู่อย่างฉันสะดุ้งขึ้นมาทันที

 "ผมถามอะไรที่น่าตกใจขนาดนั้นเชียว" เขาถามพลางทำหน้าแปลกใจ ความจริงเขาก็ไม่ได้มาแบบทันทีทันควันอะไรเลย ค่อยๆ เดินมาด้วยซ้ำไป แต่ฉันเองเนี่ยแหละที่มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลย

 เมื่อเห็นฉันนิ่งเงียบไม่ยอมตอบคำถาม เขาจึงนั่งลงข้างๆ ฉัน เราสองคนเงียบกันสักพักนึง ไม่มีคำพูดใดๆ ลอดออกมาจากปาก ก่อนที่ฉันจะผ่อนลมหายใจยาว

 "กลับกันเถอะค่ะ/มีอะไรหรือเปล่า?" คำพูดของเขากับฉันดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกันเลยทีเดียว แล้วคำพูดของเราทั้งสองคนก็ทำให้ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง ฉันไมรู้จะตอบคำถามเขายังไง และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป จะทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเขาก็ไม่ได้

 "ฉันกำลังคิดอะไรนิดหน่อย" ในที่สุดฉันก็พูดออกไป ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฉันถึงไม่ตอบว่า 'เปล่า' แต่ตอนนี้อะไรๆ ก็เหมือนว่าจะอยู่เหนือความควบคุม

 "ท่าทางจะไม่นิดหน่อยล่ะมั้ง เพราะไม่เห็นเห็นเหม่อขนาดนี้เลยนี่"

 "พ่อเลี้ยงรู้จักฉันมานานเท่าไหร่กันเชียว" ฉันถามยิ้มๆ เขาพูดยังกับรู้จักฉันมาชาติเศษ ฉันค่อยๆ หย่อนเท้าลงในน้ำใสอีกครั้ง ความเย็นสดชื่นของน้ำในลำธารเล็กๆ ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที ฉันแหงนหน้ามองฟ้ากว้าง ที่ตอนนี้ถูกบดบังด้วยใบไม้สีเขียวเข้ม

 "มีอะไรครับ" เขาถามย้ำอีกครั้ง ทำให้ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากฉันอยู่ดี
 
 ฉันแกว่งเท้าไปมาในน้ำ เสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงเดียวที่เกิดขึ้นจากตัวฉัน แต่ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง และไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเขาดีหรือเปล่า ในจังหวะที่ฉันกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาก็พูดขึ้นมา

 "เมื่อตอนที่เพลงเก็บข้าวของจากผมไป ผมถือว่าเป็นวันที่เศร้าที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าชีวิตนี้ผู้หญิงคนนึงจะทำให้ผม...ร้องไห้" เขาพูดราวกับว่าจะพูดให้ดินฟ้าอากาศฟัง สายตาของเขาเหม่อมองไปไกล...ไกลจนเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาเล่าให้ฉันฟังทำไม ฉันรู้เพียงอย่างเดียวว่า เขาคงเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันนึกภาพผู้ชายตัวโตอย่างเขาร้องไห้ไม่ออกเลย มันจะเป็นยังไงกันนะ

 "ผมไม่คิดเลยว่าจะมีวันนั้นระหว่างผมกับเพลง ผมคิดว่าเพลงเนี่ยแหละ คือผู้หญิงที่จะอยู่กับผมไปจนวันตาย" เขาพูดได้เท่านั้น และบรรยากาศทั้งโลกก็ดูเงียบไป

 ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้ฉันควรจะพูดอะไรหรือทำอะไรให้เขารู้สึกดีขึ้น ฉันทำได้ดีที่สุดก็คือการนั่งนิ่งๆ ข้างๆ เขา ฉันรู้ดี และรู้มาตลอดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่มันวุ่นวายก็เพราะ "ความรัก" ความรักทำให้คนเรามีความสุขและเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน

 "พ่อฮะ พี่กวาง" เสียงน้องลูกหินร้องเรียกเราสองคน ทำให้ความเงียบที่ฉันกับพ่อเลี้ยงสร้างขึ้นมาถูกทำลายลงทันที พ่อเลี้ยงยิ่มกว้างรับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ก่อนจะดึงน้องลูกหินมานั่งบนเสื่อที่ปูอยู่กับพื้นริมลำธารเล็กๆ แห่งนี้ น้องลูกหินอวดใบไม้ใบหญ้าที่ไปเก็บมาแถวนี้ ก่อนที่จะถามพ่อเลี้ยงว่ามันคืออะไร ฉันนั่งดูสองพ่อลูกอย่างมีความสุข เด็กๆ ควรได้รับความรักโดยเฉพาะความรักจากพ่อและแม่ ตอนนี้ลูกหินเหลือเพียงพ่อ ดังนั้นพ่อเลี้ยงจึงต้องให้ความรักกับน้องลูกหินให้มาก..มากจนเติมเต็มส่วนที่ขาดไปได้

 ช่วงหลังๆ นี้ พ่อเลี้ยงมักจะมาคุยปรึกษากับฉันเรื่องของน้องลูกหินบ่อยๆ เรื่องนู้นบ้างเรื่องนี้บ้าง จนคนช่างเม้าท์แอบเอาไปพูดบ่อยๆ ว่าฉันจะมาเป็นแม่เลี้ยงคนใหม่ แต่ฉันไม่อยากจะสนใจใยดีนักหรอก ปากคนก็พูดไป ฉันบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง และที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวเด็กเอง ฉันไม่อยากให้แกคิดมากจนขาดความอบอุ่น จะมีสักกี่คนเชียวที่โตขึ้นมาและผ่านความหนาวเหน็บนั้นได้ตามลำพัง โดยปราศจากคนเข้าใจ และทุกอย่างมันก็ต้องเริ่มตั้งแต่แกยังตัวเล็กๆ ใสๆ อย่างนี้เนี่ยแหละ

 ใช่ว่าฉันไม่เคยสงสัยนะ ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงมาทำทีไว้ใจฉันขนาดนั้น แล้วฉันก็ถามแล้วด้วย เขากลับตอบหน้าตาเฉยๆ ว่า เพราะเขาถูกชะตากับฉัน

 'คุณเป็นคนตรง ไม่มีนอกมีใน คนอย่างนี้หายาก ผมชอบ'

 แม้ฉันจะรู้ว่าคำว่าชอบของเขา มันไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร แต่ทำไมฉันรู้สึกกระตุกที่หัวใจประหลาดๆ ก็ไม่รู้ แต่ก็คงไม่มีอะไรหรอกน่า มันก็แค่อาการของคนที่เปลี่ยนที่เปลี่ยนถิ่นเท่านั้นเอง

 "ว่าไงล่ะครับพี่กวาง" เสียงน้องลูกหินดังขึ้นพร้อมกับเขย่าแขนฉันเบาๆ ทำให้ฉันตื่นจากความคิดของตัวเองที่ล่องลอยไปแสนไกล

 "ว่าไงนะครับ" ฉันถามคำถามเดียวกันซ้ำกับน้องลูกหิน ที่ตอนนี้กำลังทำหน้ามุ่ย นี่ฉันทำอะไรผิดอีกแล้วหรือนี่

 "ลูกหินถามว่าคราวหน้าเราไปไหนกันดีครับ ลูกหินอยากไปเที่ยวอีก" น้องลูกหินถามเสียงใส

 "พี่กวางว่าต้องถามเจ้าถิ่นอย่างลูกหินแล้วล่ะ" ฉันพูดยิ้มๆ ตอนนี้น้องลูกหินติดฉันมาก แม้ว่าเราจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่ แต่แกก็ชอบมาที่รีสอร์ทเสมอๆ บางทีถ้าพ่อเลี้ยงไม่ว่าง แกก็จะขี่จักรยานคันเล็กมาจอดที่รีสอร์ท พอเย็นๆ พ่อเลี้ยงก็จะมารับ แล้วก็กินข้าวเย็นที่บ้านฉันตามระเบียบ ทั้งฉันและพ่อเลี้ยงรู้ดีว่าทำอย่างนี้มันต้องตกเป็นข่าว แต่ทั้งฉันและเขาก็เห็นตรงกันว่า เราบริสุทธิ์ใจสักอย่างไม่เห็นต้องสนใจ

 ฉันมองน้องลูกหินที่ทำท่าคิดอย่างหนักใจ ก่อนที่จะก้มลงหอมแก้มเด็กตัวน้อยเบาๆ เด็กทำอะไรก็น่ารักไปหมด "เอาเก็บไปคิดดีไหมครับ ตอนนี้เย็นแล้วกลับกันดีกว่า"

 หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็ช่วยกันเก็บของ จากการที่สนิทสนมกับพ่อเลี้ยงและลูกหินมากว่า 1 เดือนทำให้ฉันรู้ว่าพ่อเลี้ยงสอนลูกดีทีเดียว (ถ้าไม่นับเรื่องที่ตวาดลูก) เขาสอนให้ลูกเข้มแข็ง รู้จักช่วยเหลือตัวเอง และน้องลูกหินก็ทำได้ดีเลยทีเดียว แม้จะไม่เรียบร้อยบ้าง แต่แกก็ดูมีความพยายามในการทำหน้าที่ของแกให้ดีที่สุด

 
 วันนี้ก็เหมือนกับทุกวันที่พวกเราไปเที่ยวกัน เขาจะไปส่งฉันที่รีสอร์ท แล้วก็กินข้าวที่บ้าน เขาไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้หรอก เพราะว่าแม่ฉันพูดแกมบังคับทุกที ขืนไม่กินแม่ก็น้อยใจ บางทีฉันก็เห็นใจเขาอยู่เหมือนกัน พอถึงบ้านฉันก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หลบมานั่งที่ระเบียงรออาหารเย็นฝีมือคุณแม่ที่รัก ฉันนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะเคลื่อนตัวลับไปตรงแนวสันเขา และดูเหมือนว่าฉันจะนั่งคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อย รู้สึกตัวอีกที พ่อเลี้ยงก็มานั่งข้างๆ แล้ว ...ทำไมเขาถึงชอบมานั่งเงียบๆ นะ...

 "ตอบได้หรือยังว่าเป็นอะไร" ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะบรรยากาศในยามนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ทำให้เขาดูอบอุ่นกว่าที่เคยเป็น เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบ เขาจึงพูดต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเมื่อตอนอยู่ที่ลำธารไม่มีผิด "ใครๆ ก็มองว่าผมเป็นคนเข้มแข็ง แต่ผมก็รู้ว่าความจริงแล้วผมเองก็ไม่ได้เข้มแข็งอะไร ผมเพียงแต่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ผมควรที่จะทำยังไง และจัดการยังไงก็เท่านั้น อีกอย่างนะกวาง อยู่กับผม ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเข้มแข็ง จะเห็นผมเป็นเพื่อน หรือเป็นพี่ชายก็ได้"

 "ขอบคุณค่ะ ฉันก็อยากมีพี่ชายเหมือนกัน" ฉันพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ฉันไม่ได้โกหกเขาเลย ฉันอยากมีพี่ชายเอาไว้อ้อน เอาไว้เข้าใจฉัน

 "เอาล่ะกวางบอกพี่ได้ยังว่าเกิดอะไรขึ้น" เขาเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกแทนตัวเองทันที ทำให้ฉันแอบอมยิ้มน้อยๆ คนอะไรทำตัวเหมือนจิ้งจก

 "ค่าพี่ชาย" ฉันลากเสียงยาว ทำให้เขาหัวเราะท่าทีของฉันเบาๆ ให้ตายสิ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะมาญาติดีกับเขา แต่มันก็เป็นไปแล้วสินะ

 ฉันนั่งเงียบๆ สักพัก พอหันไปสบตาเขาก็เจอแววตาที่เค้นเอาคำตอบ นี่เขาจะไม่ลืมเลยใช่ไหม ฉันยอมแพ้เขาเลย ให้ตายสิเขาน่าจะไปเป็นทนายมากกว่าคนทำไร่ทำสวนนะเนี่ย

 "เมื่อเช้าแม่ถามฉันว่าทำไมถึงไม่มีใครสักที แม่เป็นห่วงว่าอาจเป็นเพราะว่าฉันเห็นพ่อกับแม่เลิกกัน ก็เลย...." พอพูดถึงตรงนี้ฉันก็ถอนหายใจยาวๆ

 "แล้วความจริงมันเป็นยังไงล่ะ กวางคิดอย่างที่แม่พูดหรือเปล่า?" เขาถามเสียงนุ่ม

 "ไม่รู้สิคะ แต่ฉันก็ไม่เคยชอบใครจริงจังสักที เห็นเพื่อนบางคนร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะความรัก แต่ฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง มันเจ็บมากขนาดนั้นเลยเหรอ จนบางทีมันทำให้ฉัน...กลัว"

 "ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่มีชีวิตใครที่เหมือนกัน ถ้าไม่ลองมัวแต่กลัวจะไปรู้ได้ยังไง แต่พี่ว่าความรักของเรามันยังไม่มา เรายังไม่เจอคนที่ใช่ ที่ถูกใจมากกว่า อย่าไปคิดมากเลย ถึงเวลามันก็จะมาเอง อย่าไปปิดโอกาสก็แล้วกัน"

 คำพูดง่ายๆ ธรรมดา แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกดีอย่างประหลาด ฉันพูดขอบคุณเขาเบาๆ ก่อนที่จะลอบอมยิ้ม ฉันเริ่มที่จะรู้แล้วสิว่าแม่เห็นอะไรในผู้ชายคนนี้ถึงอยากได้เป็นลูกเขยนัก แต่ขอโทษนะคะแม่ กวางกับเขากลายเป็นพี่ชายน้องสาวไปแล้ว...เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันค่ะ

<<<<  ไปที่ตอน    1    2    3       5    6    7    8    9    10    PosTscrIpt    >>>>