pue's tales ; tales from pue
Just Breeze
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

 
 
 
สายลมที่พัดผ่าน.....

คุณรู้ไหมบางทีความรักก็เหมือนสายลม
 
.....พัดผ่านเพียงวูบเดียวแล้วก็จากไป.......
 
แต่บางที......มันก็เหมือนอากาศ ที่ยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา
 
 
วันนี้ถือเป็นวันที่ดอกไม้ขายดีที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้ ดอกไม้ช่อโตๆ สวยงามถูกจัดอย่างปราณีต ดูแล้วน่าอิจฉาคนได้รับ ดอกกุหลาบในวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะแพงเป็นประวัติการณ์ เป็นไปตามอุปสงค์และอุทาน คู่รักหลายคู่ต่างเดินจูงมือกัน โอบกันอย่างมีความสุข ทำให้ฉันต้องมานั่งคิดสงสัยตัวเองว่า ทำไมฉันถึงนั่งอยู่ตรงนี้.........
 
ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ยาวในสวนสาธารณะด้วยความหมดแรง ฉันไม่รู้เลยว่าฉันมาที่นี่ทำไมและเพื่ออะไร รู้เพียงแต่ว่า ไม่อยากกลับบ้านไปอยู่คนเดียวเงียบๆ และก็ไม่อยากเจอใครที่รู้จักสนิทชิดเชื้อ บทสรุปของความคิดทั้งหมดของฉันก็เลยมาจบที่นี่ สวนสันติชัยปราการ
 
ที่นี่ถือว่าเป็นสวนสาธารณะที่ฉันชอบมากที่สุดเลยก็ว่าด้วย ด้วยความที่มันติดแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำสายหลักของประเทศ มีเรือแล่นผ่านผิวน้ำอยู่ตลอดเวลา ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมา และมาทำกิจกรรมมากมายบริเวณนี้ อันที่จริงสวนสาธาณะที่นี่เป็นเพียงสวนสาธารณะเล็กๆ กินเนื้อที่ไม่เท่าไหร่ แต่น่าแปลกว่า ที่นี่กลับมีมนต์ขลังอย่างประหลาด
 
 
"โธ่เว้ย" เสียงชายหนุ่มที่นั่งถัดจากม้านั่งที่ฉันนั่งไปอีกตัวตะโกนขึ้นมา ทำลายความคิดที่กำลังเพลิดเพลินของฉันเสียหมดสิ้น ฉันขมวดคิ้วและมองไปตามเสียง เห็นผู้ชายคนนึงอายุไม่น่าจะเกิน 23-24 ทำหน้าหงุดหงิดหัวเสีย ส่ายศีรษะโคลงเคลงเหมือนคนบ้า คงหงุดหงิดอะไรมาสักอย่างแน่ๆ ฉันมองเขาตาไม่กระพริบ จนนายนั่นคงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมั้ง ถึงได้หันหน้ามามองฉันตาขวาง ยังกับหมาบ้าแน่ะ
 
"มองอะไรไม่เคยเห็นคนเหรอ" ดูสิ ปากก็หาเรื่อง แต่อารมณ์ของฉันตอนนี้รู้สึกขบขันมากกว่าที่จะโมโห
 
"คนน่ะเคยเห็น แต่คนตะโกนโวยวายเหมือนหมาบ้าแบบนี้ไม่เคยเห็น" ฉันพูดกึ่งล้อเลียน ทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เขาลุกขึ้นเดิมาหาฉัน ทำให้ฉันรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย เพราะถ้าเกิดมีเรื่องขึ้นมา ยังไงฉันก็สู้ไม่ได้ อยากตบปากตัวเองเหลือเกินที่พูดอะไรไม่คิดออกไป
 
"ใช่สิ ผมมันเป็นหมาบ้า ดาวถึงทำอย่างนี้กับผม โธ่เว้ย" เขาพูดพลางเตะกระป๋องน้ำอัดลมที่วางอยู่เหมาะเหม็งบริเวณนั้น แล้วมันก็เหมาะเหม็งเสียจริงๆ เพราะมันไปโดนหัวผู้ชายที่เดินอยู่ เขาหันมามองหน้าเราทั้งสองคน ประมาณว่าจะฆ่าเสียให้ได้
 
"ขอโทษค่ะ" ฉันพูดขอโทษขณะที่นายนั่นกำลังตกตะลึง จากนั้นก็ไม่รอช้า คว้าแขนเขาออกมาจากตรงนั้น และกึ่งดึงกึ่งลากด้วยความเร็วสูง
 
 
 
"นี่คุณ คุณ" เสียงเขาเรียก พลางกระตุกมือเล็กน้อย ทำให้ฉันหยุดหอบหายใจ
 
"อะไร" ฉันถาม ขณะที่พยายามสูดหายใจเข้าปอดชดเชยกับเมื่อกี้
 
"คุณจะพาผมไปไหน" เขาถามเสียงแข็ง
 
"ก็พานายออกมาจากการโดนกระทืบนะสิ" ฉันตอบพลางทรุดตัวลงนั่งยองๆ
 
"ขอบใจ" ไม่น่าเชื่อ บทจะอ่อนก็อ่อนขึ้นมาง่ายๆ ทีแรกคิดว่าเขาจะโวยวายเสียงดังเสียอีก
 
"งั้นเราแยกกันตรงนี้ก็แล้วกัน" ฉันพูดพลางลุกขึ้น
 
แต่การตัดสินใจของฉันก็ถูกขัดด้วยผู้ชายหน้ามนคนที่ฉันลากมาเสียก่อน
 
"วันนี้ว่างหรือเปล่า" เขาถามขึ้นเบาๆ ทำให้ฉันมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
 
 
 

.....วันนี้ว่างหรือเปล่า.......
 
 
คำถามนี้ดังแว่วอยู่ในโสตประสาท แต่เสียงที่ได้ยินหาใช่คนที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นเสียงของใครคนนึงที่เพิ่งเดินจากไป พร้อมกับผู้หญิงคนใหม่ที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา
 
 
'ว่างสิ สำหรับคิม เราว่างเสมอแหละ'
 
 

'ขอโทษนะหวาน เราชอบคนอื่นแล้ว ไม่ใช่หวานไม่ดี แต่เราหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้ เราชอบน้องพิม'
 
 
 

"นี่ เธอ เป็นใบ้กะทันหันเหรอ"  เขาถามกวนๆ ทำให้ฉันหลุดออกจากความคิดของตัวเอง แล้วหันไปมองเขาด้วยสายตาขุ่นเขียว "ไม่ว่างก็บอกว่าไม่ว่าง"
 
"ว่าง" ก็แน่ละสิ ฉันจะมีอะไรทำล่ะ ก็เล่นถูกบอกเลิกก่อนวันวาเลนไทน์ 1 วัน วันนี้เลยต้องมานั่งแง่วเจออีตาบ้านี่กวนประสาทไปมา
 
"ไปด้วยกันหน่อยไหม" เขาชวนก็จริง แต่ท่าทีของเขากวนสิ้นดี แต่ฉันก็อดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
 
"ไปไหนดี"
 
 

..
.........
.................
......................
...............................
 
 
มันอาจจะเป็นแค่ความเหงา

มันอาจจะเป็นแค่ความหวั่นไหว

หรืออาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ...
 
...ที่ทำให้ฉันตอบรับเขาอย่างง่ายดาย....
 
 
 
"ทำไมถึงพามาดูหนังล่ะ เนื้อเรื่องก็หวานเชียว" ฉันพูดเมื่อเขาส่งตั๋วหนังให้ งานนี้เขาอาสาเป็นคนออกเองทั้งหมด แม้ว่าฉันจะค้านยังไงก็ไม่ยอม
 
"ทีแรกฉันก็กะเอาไว้เลี้ยงแฟนแหละ แต่พอดีทะเลาะกันเมื่อเช้า ก็ถือว่าเลี้ยงแฟนชั่วคราวก็แล้วกัน"
 
 
.....แฟนชั่วคราว.....
 
 
ฟังแล้วเหมือนเมียชั่วคราวยังไงไม่รู้ แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงมันก็แค่วันนี้นี่นา ฉันเอื้อมมือไปแตะมือเขาเบาๆ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรถึงดลใจให้ฉันทำอย่างนั้น ดูเหมือนเขาจะประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะตัดสินใจคว้ามือฉันมาจับเอาไว้แน่นๆ
 
ความอบอุ่นจากมือของเขา แผ่ซ่านมาที่ตัวฉันอย่างรวดเร็ว มือที่เกาะกุมมือของฉันช่างให้ความรู้สึกมั่นคง อบอุ่น จนฉันรู้สึกได้ ความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน มันอบอุ่นจนทำให้ฉันอยากร้องไห้
 
"เฮ้ย เป็นอะไร" เสียงเขาร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสอง หน้าตาเขาตอนนี้ตลกจริงๆ ฉyนอยากจะขำเหลือเกิน แต่เพราะอะไรไม่รู้ฉันถึงร้องไห้หนักยิ่งขึ้น ทำเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะทำยังไงอยู่สักพัก ก่อนที่จะดึงตัวฉันมาซบอกเขา
 
"อยากร้องก็ร้องให้พอ" สิ้นเสียงของเขา ฉันก็ปล่อยโฮอย่างไม่อายใคร
 
..
......
.................
........................
............................

"สบายใจหรือยัง" เขาถามพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าใสให้ฉัน ฉันพยักหน้าเบาๆ
 
"ขอโทษนะ"
 
"อยากเล่าไหม" เขาพูดพลางพิงพนักเก้าอี้สีแดงที่อยู่หน้าโรงหนัง ที่ตอนนี้คนเริ่มเดินเข้าโรงกันไปบ้างแล้ว แต่ฉันกับเขายังคงนั่งคุยกัน พนักงานที่ยืนคุมประตูก็มองหน้าเราสองคนเป็นเชิงถามว่าจะเข้าหรือเปล่า แต่เราสองคนก็ไม่ใส่ใจ และนั่งคุยกันอยู่สักพัก จนกระทั่งหนังฉายไปได้ครึ่งชั่วโมงเราสองคนจึงเดินเข้าโรงไป
 
.....................
.............
......
..
 
 
หลังจากออกจาโรง เราสองคนก็ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย จนกระทั่งเราเดินมาจนถึงทางออก ฉันก็เป็นฝ่ายที่ทำลายความเงียบขึ้น
 
"สงสารนางเอกเนอะ" ฉันพูดขึ้น แต่สายตาเหม่อมองไปไกล
 
"สงสารพระเอกมากกว่า" เขาว่าเข้านั่น จากนั้น เราสองคนก็พูดคุย หรือเถียงกันอย่างสนุกสนาน หัวข้อที่เถียงก็ไม่พ้น พระเอกหรือนางเอกใครน่าสงสารมากกว่ากัน
 
จากนั้นเราก็ไปกินไอศกรีมกัน สั่งไอศกรีมถ้วยเท่าควายมานั่งกิน ส่วนใหญ่ก็เป็นเขานั่นแหละที่จัดการ ส่วนฉันก็แอบกินลูกเชอร์รี่ไปจนหมด
 
"ขี้โกง กินเชอร์รี่ไปหมดเลย" เขาโวยวายขึ้นมาเสียงดัง ทำให้ฉันต้องจุ๊ปาก และย่นจมูกใส่เขา
 
"แค่เชอร์รี่ก็โวยวาย ตัวเองกินไอติมไปตั้งหลายลูก เราไม่เห็นว่าเลย" ฉันสวนกลับ
 
"โอ๋ๆๆๆ อย่าโมโหหิวไปเลย อ่ะๆ ป้อน พัชรภาหน่อยเร็ว" เขาพูดพลางตักไอศกรีมมายื่นที่ปากฉัน
 
"อะไรพัชราภา" ฉันถาม
 
"ก็อั้มไง วู้ ไม่ได้เรื่อง อย่างนี้อด" เขาพูดพลางชักมือกลับ และเอาไอศกรีมเข้าปากตัวเอง ฉันได้แต่มองตาค้าง รู้งี้ไม่ถามก็ดี เพราะเท่าที่เห็นคำนั้นลูกเกดเป็นเม็ดเลย เสียดายชะมัด
 
 
...
................
.....................
..........................
 
 
หลังจากที่เดินห้างกันมาพักใหญ่ พวเราก็เปลี่ยนบรรยากาศในยามเย็นไปร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่เขาบอกเอาไว้ว่าจองเอาไว้เพื่อฉลองกับแฟน แต่คราวนี้ฉันไม่ยอมให้เขาออกคนเดียว พร้อมมัดมือชกให้ฉันเป็นคนเลี้ยง ทำให้เขายอมตามใจ
 
"ดอกไม้ครับ" เสียงพนักงานร้านนึงพูดพลางยื่นช่อดอกลิลลี่สีดาวสวยให้ฉัน ฉันรับมันมาด้วยสีหน้าแปลกๆ ทำให้เขาหัวเราะขึ้นมา
 
"ผมให้ อันที่จริงกะเตรียมไว้เซอร์ไพส์แฟนน่ะ แต่เขาไม่มา" เขาพูดยิ้มๆ
 
"ขอบคุณ แต่เก็บเอาไว้ให้เธอไม่ดีกว่าเหรอ" ฉันค้าน แต่ใบหน้าก็เปื้อนยิ้ม
 
"ช่างเถอะ" เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ พลางสั่งอาหารเป็นชุด
 
 
 

พวกเรากินกันไป คุยกันไป ทำให้ฉันรู้ว่านายขี้โวยวายคนนี้คุยสนุกใช้ได้เลยล่ะ แถมเป็นคนโรแมนติกอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าจะทำแฟนโกรธจนกระทั่งไม่ยอมมาด้วยกัน
"นายทะเลาะอะไรกับแฟนเหรอ"
 
"อืม พ่อเขาไม่ชอบเรา เขาว่าลูกเขาสูงส่งเกินที่จะได้กับเรา แล้ววันนี้ก็นัดกันดิบดีว่าจะไปฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยกัน แต่เมื่อเช้าก็โทรมาบอกว่าไปไม่ได้ เพราะว่าพ่อให้ไปออกรอบเป็นเพื่อน และขัดพ่อไม่ได้ เราก็เลยโวยวายน่ะสิ นัดกันมาตั้งนาน แถมแฟนเราก็บอกพ่อมานานแล้ว แล้วจู่ๆ ก็มาแกล้งกันแบบนี้ เราก็เลยเผลอว่าพ่อเขาไป คราวนี้เขาเลยโกรธใหญ่ หาว่าเราไม่เคารพพ่อเขามันก็เลยเป็นอย่างนี้" เขาเล่าพลางทำหน้าเซ็งๆ
 
"ทำไมเขาถึงว่านายไม่เหมาะกับลูกสาวเขาล่ะ" ฉันถามด้วยความอยากรู้
 
"ก็พ่อแฟนเราเขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ ส่วนเราก็แค่นักศึกษาจนๆ คนนึง ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกสาวเขา ประมาณนั้น อีกอย่าง ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า เขาจะได้คนที่เหมาะกับลูกสาวเขาแล้ว เป็นลูกชายเพื่อนเขาเพิ่งจบจากนอก"
 
"แล้วแฟนนายว่าไง" ฉันถามต่อ
 
"ไม่รู้สิ แต่ก็ดูแฮปปี้กับนายนั่นดี ยังไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงด้วยกันอยู่เรื่อย ทางนู้นเขามีรถนี่ เรามันไม่มี เวลาไปไหนห็ต้องอาศัยรถแฟนเรา ไม่เหมือนกับทางนู้น ที่ให้แฟนเรานั่งเป็นคุณนายได้ ไม่ว่าทางไหน ทางนู้นเขาก็ได้เปรียบอยู่แล้ว" เขาพูดเสียงสั่น พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำให้ฉันเอื้อมมือไปจับมือเขาและบีบเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ
 
 
 

ความรักก็เป็นอย่างนี้แหละนะ สั่นคลอน ไม่แน่นอน และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา ...แต่ความรักอีกนั่นแหละ ที่สวยงาม....หอมหวาน เสียเกินที่จะปฏิเสธไม่ลิ้มลอง .........มันก็เลยต้องเจ็บอย่างนี้ไง.........
 
 
 

"เราไม่เป็นไรหรอก" เขาพูดพลางเอามือมาบีบจมูกรั้นของฉันด้วยความเอ็นดู
 

.......ไม่เป็นไร.........คำง่ายๆ ที่ออกจากปากของคน แต่ส่วนใหญ่ของคนที่พูดคำนี้ เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ
 
 
 
ในที่สุดวันวาเลนไทน์ก็กำลังจะหมดลงในไม่ช้า ฉันยืนอยู่ตรงสถานีรถไฟฟ้าเตรียมที่จะกลับบ้าน ฉันขอบคุณเขาเบาๆ ถ้าไม่ได้เขาในวันนี้ฉันคงร้องไห้ไม่ออก สิ่งที่อยู่ในใจก็คงไม่ได้เอาออกมาสักที และถ้าไม่มีเขาในวันนี้ ฉันก็คงนั่งเหงาโดดเดี่ยวเดียวดาย
 
 
"ขอบคุณสำหรับวันนี้นะ" เขาพูดพลางเกาหัวเขินๆ น่ารักดีจัง
 
"งั้นไปก่อนนะ" ฉันหันหลัง เพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่ก็มีมือๆ นึงมาคว้าแขนฉันเอาไว้ก่อน
 
"หวาน เอ่อ ขอเบอร์ได้ไหม" เขาพูดออกมาด้วยความยากลำบาก ฉันยิ้มให้เขาด้วยความจริงใจ ทำไมจะไม่ดีใจที่เขาขอเบอร์ ดีใจจะตาย ฉันยอมรับเลยว่า วันนี้ฉันรู้ดีกับเขามากๆ
 
"อย่าเลย" ฉันพูดพลางส่ายหัวเบาๆ
 
"ทำไม" เขาพูดเสียงแข็ง ขมวดคิ้วเป็นปม ท่าทางจะโมโหอีกแล้ว คนอะไรโมโหน่ารักเชียว
 
"ฉันรู้สึกดีๆ กับนาย และฉันเชื่อว่านายก็รู้สึกดีๆ กับฉัน แต่พอแค่นี้เถอะ ถ้ารู้จักกันมากขึ้น ฉันต้องชอบนายมากขึ้น และคงทำทุกอย่างให้นายเป็นแฟนฉัน นายมีคนของนายอยู่แล้ว รักษาเขาไว้ให้ดี" ฉันพูดพลางจับแก้มเขาเบาๆ น้ำตาเจ้ากรรมทำท่าจะไหลออกมา เขาดึงตัวฉันมากอดเบาๆ
 
"ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีก ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ฉันจะเชื่อว่าฟ้าคงบันดาลให้เราคู่กัน" ฉันพูดต่อ และพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
 
รอยยิ้มของเขาที่จริงใจคลี่ออกมาบนใบหน้าสวย ดวงตาฉายแววอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าและสุขไปพร้อมๆ กัน ฉันยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินเข้าไปที่ประตูทางเข้ารถไฟฟ้า
 
 
 
......เราชื่อบรีซ เฮ้ย อย่าขำนะ ชื่อเรามีความหมายที่ดี ชื่อเราหมายถึงลมที่พัดมาอ่อนๆ ทำให้คนที่โดนสายลมนี้รู้สึกชื่นใจ..........
 
 
 
เสียงของเขาตอนบอกชื่อเขายังดังสะท้อนอยู่ในหัว.......
 
สำหรับฉัน เขาก็เป็นสายลมแห่งรักที่มาในวันวาเลนไทน์ สายลมที่พัดผ่านมาเพียงชั่วครู่ แล้วก็ลอยหายไป.....
 
 
.........มันก็คงเป็นได้เพียงเท่านี้จริงๆ.............
 

......
.............
....................
.........................
.............
......

.
"กลับมาทำงานแล้วเหรอสาวน้อย" เสียงพี่ปุ้มทักขึ้น หลังจากที่ฉันลาพักร้อนไปยาว เหนื่อยใจมามาก ขอพักกายและใจให้หายเหนื่อยหน่อยเถอะ ฉันตัดสินใจไปนอนเล่นที่เมืองกาญจน์กับยัยน้องสาวตัวแสบสองคน โดยที่ฉันต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด เฮ้อ เกิดเป็นพี่นี่ลำบากจริงๆ
 
"เออ ตอนที่หวานไม่อยู่มีหนุ่มหน้ามน บัณฑิตหมาดๆ เข้าทำงานด้วยนะ หน้าตาก็น่ารัก ชื่อก็ไม่เหมือนใคร เดี๋ยวก็คงมาแล้วมั้ง นั่นไงมาพอดี" เสียงพี่ปุ้มพูดพลางชี้ไปที่ประตูทางเข้า ทำให้ฉันหันหลังกลับไปมอง
 
"ขอโทษครับที่มาสาย" หน้าตาและท่าทางของผู้ชายหน้ามนของพี่ปุ้มทำให้ฉันอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้
 
"เอ้า แนะนำตัวกับรุ่นพี่หน่อย หวานเขาต้องรับหน้าที่สอนงานให้เรานะ" เสียงพี่ปุ้มพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
 
"ผมบรีซครับ ชื่อนี้แปลว่าสายลมที่พัดมาอ่อนๆ ทำให้คนที่โดนสายลมนี้รู้สึกชื่นใจ"
 
 
***************