ผมหลงรักเธอตอนไหนเหรอ
มันจะน้ำเน่าไปไหม ถ้าผมบอกว่า
ผมหลงรักเธอตั้งแต่ก่อนผมจะเจอเธอเสียอีก..........
ผมอาจจะเจอเธอในฝัน......
หรืออาจจะได้ยินเสียงเธอแว่วมากับสายลม
หรือว่าผมกับเธอ......
อาจจะเป็นคู่กันตั้งแต่ชาติปางก่อน
ผมไม่กล้าคิดเอาเองหรอก
แต่ก็มีบางอย่าง บอกให้ผมแน่ใจ
เมื่อคราวที่พบกันครั้งแรก
แม้ว่าเธอจะดูโก๊ะไปนิด
แต่เธอก็ดูน่ารักดี
ผมสีน้ำตาลฟูฟ่องของเธอ
รับกับใบหน้าของเธออย่างประหลาด
"นี่ นาย ฉันถามว่าเห็นคางคกไหม
ไม่ได้ยินเหรอ" เสียงขอเธอหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อผมนั่งนิ่งไม่ยอมตอบเธอ
ผมเชิดหน้านิดๆ ตามแบบฉบับ
และตอบกลับไป
"ไม่ ฉันไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าสัตว์เลี้ยงของใคร"
ผมตอบอย่างถือดี ทำให้เธอเชิดหน้าขึ้นด้วยความไม่พอใจ
แก้มป่องๆ ของเธอเริ่มมีสีชมพูระเรื่อด้วยความโมโห
"ก็ดี งั้นฉันไปก่อนละ"
เธอปิดประตูเสียงดัง
บ่งบอกถึงอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
ผมกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก
ผมคงเป็นโรคจิตละมั้งที่คิดว่า
เวลาเธอโกรธแล้วน่ารักดี
วันเวลาผ่านไป ผมได้อยู่บ้านสลิธิริน
ส่วนเธอได้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์
ผมอดคิดไม่ได้ว่าความรักของเราช่างเหมือนโรมีโอกับจูเลียต
นิยายน้ำเน่าของมักเกิลที่เธอบังคับให้ผมอ่านเมื่อเดือนก่อนสิ้นดี
(จะต่างก็ตรงที่ผมกับเธอไม่โง่ฆ่าตัวตายหรอก)
บ้านของเราสองคนไม่ถูกกัดอย่างแรง
แถมเธอเป็นเลือดสีโคลนที่บ้านผมรังเกียจอีกต่างหาก
ผมไม่อยากจะน้ำเน่าเลย
แต่ผมก็คงต้องบอกว่า
เรื่องของความรักอะไรก็ห้ามไม่ได้
และรักก็ไม่มีอะไรมาแบ่งเขตได้ด้วย
อันที่จริงผมเองก็น้อยใจเธอหน่อยๆ
ที่เธอไปทำตัวสนิทสนมกับพวกที่ผมไม่ชอบ
ก็อย่างพวกเจ้าพอตเตอร์หรือวีสลีย์นะสิ
ผมละเกลียดพวกทำตัวเป็นฮีโร่ที่สุด
และด้วยเหตุผลนี้และหลายๆ
อย่างประกอบกัน ทำให้ผมต้องทำทีเป็นเกลียดเธอไปด้วย
ทั้งๆ ที่ผมรักเธอจะตายไป
ตอนวันงานเต้นรำตอนปี
4 เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเธอตามลำพัง
วันนั้นเธอดูสวยมาก
สวยจนผมแทบจะลืมหายใจเลยทีเดียว
ผมมองเห็นเธอทะเลาะอะไรกับเจ้าวีสลีย์
แล้วก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง
ผมรีบเดินตามออกไปทันที
"รอนบ้า บ้าที่สุด" เธอพึมพำอะไรอยู่คนเดียว
ทำท่าทางฮึดฮัดทำให้ผมอดที่จะขำออกมาเบาๆ
ไม่ได้ แต่สงสัยผมจะหัวเราะดังไปหน่อย
เธอจึงหันหน้ามามองหน้าผม
"มัลฟอย" เธอพูดชื่อผมเบาๆ
หน้าตาของเธอตื่นตกใจพอควร
ผมรู้ว่าตอนนี้ในใจเธอคงคิดคำณวนอะไรหลายๆ
อย่าง อย่างเช่นถ้าตะโกนร้องให้คนช่วยจะมีใครได้ยินหรือเปล่า
หรือว่าถ้าผมทำอะไรขึ้นมา
เธอจะจัดการยังไงดี
ผมยักไหล่เบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ
และกระตุกยิ้มขึ้นมา
ผมเสมองดูดาว โดยไม่ใส่ใจท่าทีของเธอที่ดูหวาดระแวง
แล้วหูของผมก็แว่วเพลงหวานขึ้นมาจากทางงานเลี้ยง
"เต้นรำกันหน่อยไหม"
ผมโค้งให้เธอเล็กน้อย
แน่นอนว่าเธอไม่มีทางเลือกนอกจากย่อตัวรับคำขอจากผม
มันเป็นมารยาทที่เธอไม่อาจจะเลี่ยงได้
วินาทีที่ผมได้สัมผัสมือเธอ
ผมคิดว่าผมฝันไป เราเต้นรำกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
ผมกระชับตัวเธอเข้ามาใกล้ๆ
เธอเองก็ไม่ได้ว่าอะไรผม
ทำให้ผมได้ใจ กระชับตัวเธอมากอด
และซบหน้าลงผมสีน้ำตาลของเธอ
ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เธอคิดอะไรอยู่
ผมรู้แต่ว่าผมอยากเก็บช่วงเวลานี้เอาไว้ให้นานที่สุด
"มัลฟอยเพลงจบแล้วล่ะ"
เธอพูดเสียงเบา ทำให้ผมปล่อยตัวเธอช้าๆ
ผมสังเกตเห็นว่าเธอหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด
เธอมองหน้าผมสักพักก่อนที่จะผละจากผมไป
หลังจากวันนั้น พวกเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ผมยังคงว่าและถากถางเธอและเพื่อนเป็นกิจวัตร
พวกเรามีเรื่องกันมากมายจนกระทั่งผมคิดว่า
ผมกับเธอคงไม่มีทางได้ลงเอยกัน
แต่จะว่าผมดันทุรังก็ได้
เพราะผมยังแอบหวังนิดๆ
และโอกาสก็มาหาผมอย่างที่ผมไม่ได้ตั้งใจ
ผมได้เป็นคู่ตรวจโรงเรียนในวันสุดท้ายของปี
6 เราสองคนเดินกันมาเงียบๆ
ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น
"นี่ปีหน้า เธอคิดว่าเธอจะได้เป็นประธานนักเรียนหรือเปล่า"
ผมถามขึ้นทำลายความเงียบ
แต่ผมคิดว่าเธอก็คงได้เป็นอยู่แล้วล่ะ
เธอปรายตามองผมสักครู่
ก่อนหันหน้าไปทางอื่น
"ฉันเชื่อในการตัดสินของศ.ดัมเบิลดอร์"
เธอตอบเลี่ยงๆ
"แต่ฉันคิดว่าฉันได้เป็นอย่างแน่นอน"
ผมพูดโอ่ๆ และรอดูปฏิกิริยาของเธอ
"เหอะ" เธอพูดอย่างไม่เชื่อ
พลางมองไปอีกทาง
"มาพนันกันไหมล่ะ ถ้าฉันได้เป็นประธานนักเรียน
เธอจะต้องทำตามคำขอร้องจากฉัน
3 อย่าง" ผมเสนอเธอ
"ไร้สาระ" เธอพูดพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น
"ไม่กล้า" ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ
"ก็ได้" เธอหันมามองผมด้วยตาที่ลุกวาว
"ถ้านายไม่ได้เป็นละ"
"ก็แล้วแต่เธอ" ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ
"ก็ดี"
คืนนั้นผมกับเธอจบการสนทนาเพียงแค่นั้น
ผลเป็นยังไงเหรอครับ
ถ้าเธอชนะ วันพรุ่งนี้เธอคงไม่ต้องไปเที่ยวฮอกมีดส์กับผมในวันวาเลนไทน์หรอก
ผมละขำชะมัดเลย ตอนที่ผมบอกความต้องการของผมให้เธอฟัง
เธอทำหน้าราวกับผมบอกว่า
ดัมเบิลดอร์เป็นผู้เสพความตายเสียอย่างนั้น
และตอนนี้ผมก็มายืนรอเธออยู่ตรงประตูใหญ่
ผมเห็นเจ้าพอตเตอร์และเจ้าวีสลีย์วิ่งหน้าตั้งออกมาแล้ว
ส่วนเธอผมเห็นผมของเธอพริ้วไสวอยู่ด้านหลัง
เจ้าพอตเตอร์กับเจ้าวีสลีย์ก็มองผมด้วยสายตาเหยียดๆ
แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ตอนนี้เธอหยุดยืนหอบๆ
อยู่ข้างหน้าตัวผม ทำให้ผมอมยิ้มเล็กน้อย
"มาช้า" ผมพูดห้วนๆ ทำให้เธอส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้
"เอ้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
สิ" ผมพูดพลางจับไหล่เธอให้ตั้งตรง
เธอสุดหายใจลึกๆ ตามที่ผมบอก
สักพักก็หายหอบ จากนั้น
เราสองคนก็ออกเดินทางไปที่ฮอกมีดส์
ผมเดินจับมือเธอไปตลอดทาง
ผมสังเกตเห็นหน้าเธอเป็นสีชมพูระเรื่อ
ผมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางของเธอที่ดูขัดเขิน
ผมจูงเธอเข้าไปในร้านต่างๆ
มากมาย และผมก็ต้องเดินเข้าไปในร้านหนังสือของเธอเช่นกัน
"เฮอร์ไมโอนี่ เอ้าเราให้"
เสียงเด็กบ้านเรเวนคลอยื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงให้เธอ
ขณะที่อยู่ในร้านหนังสือ
ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือหยิบ
ผมก็คว้าดอกกุหลาบช่อนั้นมาเสียก่อน
ก่อนทำหน้าเบ้ แล้วโยนกุหลาบช่อนั้นลงพื้นแล้วเหยียบลงไปอย่างไม่ปราณี
แล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่ของเธอ
และมองหน้าเจ้านั่นด้วยสายตาที่ค่อนข้างจะโหดอยู่
เอาเป็นว่าถ้าผมฆ่ามันได้ผมฆ่าไปแล้ว
ผมสังเกตเห็นเจ้านั่นกลืนน้ำลายลงคอ
ก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เธอหันมามองหน้าผมด้วยสายตาขุ่นเขียว
ก่อนที่จะหันไปสนใจหนังสือที่กำลังเลือก
แต่ผมดูก็รู้ว่าเธอกำลังไม่พอใจ
"ชอบมันหรือไง" เอาสิ
ผมก็ไม่พอใจเป็นเหมือนกัน
"เปล่า แต่ท่าทางของนายมันน่าเกลียด"
น้ำเสียงของเธอบ่งบอกความไม่พอใจอย่างที่สุด
ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
ก่อนจะดันหลังเธออกจากร้าน
โดยไม่สนใจเธอที่โวยวายเพราะยังไม่ได้ซื้อหนังสือ
"ถ้าโวยวายอีกคำเดียวจะจูบล่ะนะ"
ผมพูดขู่ และก็ได้ผลทุกที
เธอเงียบและทำปากยื่นๆ
ทำให้เธอดูน่ารักเข้าไปใหญ่
"ไปกันเถอะ" คราวนี้ผมไม่จับมือเธอแล้วล่ะครับ
ผมโอบเอวเธอ โดยที่ไม่แคร์สายตาใคร
เข้าไปในร้านเล็กๆ ในตรอก
ร้านนี้เป็นร้านที่ค่อนข้างแพงพอสมควร
จึงไม่ค่อยมีนักเรียนของฮอกวอร์ตเข้ามาเท่าไหร่
แต่สำหรับผม ราคาแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ผมพาเธอมานั่งที่ที่ดีที่สุดของร้าน
"ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ"
ผมถามเธอเสียงอ่อย เมื่อเห็นเธอทำหน้าง้ำไม่หายสักที
"ก็นายทำน่าเกลียด" เธอโวยวายอีกครั้ง
น่ารักจริงๆ เลยเวลาโกรธเนี่ย
ชอบที่สุด ผมคิดพลางก้มลงหอมแก้มขาวเนียนอมชมพูของเธอ
"ฉวยโอกาส" เธอว่าเข้าให้
แต่ผมก็ไม่พูดอะไร เอาแต่ยิ้มและยิ้ม
แล้วผมกับเธอก็สั่งอาหารกัน
เรานั่งคุยกันสักครู่
ก่อนที่จะกลับปราสาท
ยังไม่หมดแค่นี้หรอกครับ
สำหรับวันนี้ เพราะมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ในหอนอนประธานนักเรียน
ตอนนี้ผมเนรมิตรให้มันมีแต่กุหลาบสีขาวประดับตามมุมต่างๆ
ของห้อง จนเหมือนงานแต่งงานก็ไม่ปาน
กลางห้องมีโต๊ะเล็กๆ
แทน บนโตะมีไวน์ชั้นดีหนึ่งขวด
ไก่งวง และอาหารมากมาย
ไม่ช้าเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่ผมรอคอยก็เดินข้ามรูปภาพเข้ามา
ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเธอเห็นสภาพห้องตอนนี้
"นายทำอะไร" แทนคำตอบ
ผมโบกไม้กายสิทธิ์หนึ่งที
ให้ตู้เพลงบรรเลงเพลงเพลงเดียวกับที่ผมเต้นรำกับเธอเป็นครั้งแรก
ผมโค้งให้เธอเหมือนกับวันนั้น
เธออมยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะย่อตัวให้ผมเหมือนเคย
เราเต้นรำกันอยู่เนินนาน
เพลงแล้วเพลงเล่า จนเธอเริ่มเมื่อยนั่นแหละจึงบอกผม
จากนั้นเราก็ไปกินอาหารที่จัดเอาไว้อย่างสวยหรู
เรายิ้ม หัวเราะ และคุยกันมากมาย
แน่นอนว่าต้องมีเรื่องใน
6 ปีที่ผ่านมามาเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน
เรื่องที่เราบาดหมางกัน
ตอนนี้กลับเป็นเรื่องขำขันระหว่างเราไปเสียแล้ว
หลังจากทานอาหารเสร็จ
ดึกๆ ผมก็พาเธอไปดูดาวที่หอคอยที่อยู่เหนือหอนอนประธานนักเรียน
ผมกับเธอนั่งนับดาวกันอย่างไร้จุดหมาย
ความจริงผมเองก็ไม่อยากนับหรอก
ผมว่ามันไร้สาระ แต่ก็ตามใจเธอหน่อยแล้วกัน
"เดรโก นายเชื่อเรื่อง.......เอ่อ.
ช่างเถอะ" เธอพูด แล้วก็หยุดไป
ทำให้ผมขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย
"มีอะไรก็พูดมาสิ" ผมพูดพลางกระชับกอดเธอให้แน่นขึ้น
ผมลืมบอกว่าตอนนี้ผมกอดเธออยู่
และผมก็เอาหน้าเกยกับไหล่ของเธอ
"นายเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไหม"
เธอพูดเสียงแผ่ว หน้าของเธอแดงขึ้นมา
ทำให้ผมอมยิ้มขำๆ
"ถ้าฉันบอกว่าเชื่อล่ะ"
เธอเลิกคิ้วสูง ทำท่าเหมือนผมพูดอะไรผิด
"ถ้าฉันบอกเธอว่า ฉันรักเธอตั้งแต่ฉันยังไม่เจอเธอ
เธอจะว่ายังไง"
"เป็นไปได้ยังไงกัน"
เธอขัดผม พลางทำจมูกย่น
ผมหอมแก้มเธอหนึ่งทีแล้วพูดต่อ
"ฉันเชื่อ ว่าเราเป็นคู่กันตั้งแต่เกิดแล้วไง
แล้วฉันก็รักเธอมาตลอด
พอฉันเจอเธอครั้งแรก
ฉันก็รู้เลยว่าฉันรักเธอ"
ผมพูดยิ้มๆ ทำให้เธอแอบขำ
"หัวเราะอะไรยัยฟู"
"หัวเราะคนน้ำเน่า ตอนให้อ่านโรมีโอกับจูเลียตก็ทำทีเป็นไม่อยากอ่าน
ทีแท้ก็แอบมาน้ำเน่าอย่างนี้นี่เอง"
เธอพูดยิ้มๆ ทำให้ผมพลอยหัวเราะไปด้วย
"แต่เธอก็รักคนน้ำเน่าคนนี้ไม่ใช่เหรอ"
ผมพูดพลางมองหน้าเธอนิ่ง
แล้วก้มลงจูบเธอ
"ใครบอกนายกันว่าฉันรักนาย"
เธอพูดหลังจากที่ผมถอนจูบนั้นออกมา
"ใครดีน้า จูบเมื่อกี้มั้งที่บอก"
ผมพูดกวนๆ ทำให้เธอทำท่างอนผม
ผมยังคงยืนยันคำเดิมว่าเวลาเธอโกรธเนี่ย
น่ารักที่สุดเลย
จากนั้นเราก็ไม่พูดอะไรกันไปสักพักใหญ่ๆ
ราวกับอยากจะเก็บช่วงเวลาช่วงนี้เอาไว้เนิ่นนาน
"วันข้างหน้าเราสองคนจะเป็นยังไงนะ"
เธอพูดขึ้น พลางพิงมาที่อกของผม
"อย่างอื่นเป็นยังไงไม่รู้
แต่สำหรับฉัน ไม่ว่าวันไหนๆ
ก็จะรักเธอ ตลอดไป" ผมพูดด้วยใจจริงของผม
เราสองคนนั่งดูดาวอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน
แต่ผมกลับมานั่งอยู่ทีห้องนั่งเล่นรวม
รออะไรบางอย่าง
เชื่อไหมว่าผมไม่เคยกระวนกระวายอะไรเท่านี้มาก่อน
ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่ตลอดเวลา
ผมไม่รู้ว่าผมคิดดีหรือเปล่าที่ผมคิดวิธีนี้
ตอนนี้เวลา 1 วินาทีของผมราวกับเป็นชั่วโมง
1 นาทีเหมือนเป็นวัน
เฮ้อ ทำไมผมถึงเป็นอย่างนี้นะ
ผมคิดพลางเดินไปเดินมาด้วยความวิตก
แล้วก็มานั่งกุมหัวอยู่ที่โซฟาหน้าเตาผิง
ระหว่างนั้นเองผมก็รู้สึกได้ว่ามีร่างเบาๆ
มานั่งลงข้างๆ ผม และกอดผมอย่างแผ่วเบา
ผมได้กลิ่นสบู่ที่คุ้นเคย
ผมมองหน้าเธอด้วยความหวัง
เธอพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงตอบรับ
วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตนี้ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ผมทั้งกอดทั้งจูบเธอด้วยความดีใจ
ไม่มีอะไรที่ผมจะดีใจเท่านี้มาก่อนอีกแล้ว........
...
.........
.................
.........................
................
.........................
................................
............................................
ฉันหลงรักเขาตอนไหนหน่ะเหรอ.......
...อืม....บางที อาจจะเป็นอย่างที่เขาบอกก็ได้นะ
ฉันอาจจะรักเขาตั้งแต่ก่อนเจอเขา
...........
เขาอาจจะเคยข้ามแดนแห่งความฝันมาหาฉัน...
ฝากเสียงเพลงแว่วหวานมาตามลม
หรือว่าเราจะเคยเจอกันตั้งแต่ชาติปางก่อนก็อาจจะเป็นได้
ฉันพบเขาจริงๆ เป็นครั้งแรกเมื่อตอนขึ้นรถไฟตอนปีหนึ่ง
ตอนนั้นฉันตามหาคางคกให้เนวิลล์อยู่
ฉันเปิดตู้ของเขาและถามเขาว่า
เห็นคางคกบ้างไหม แต่รู้ไหมเขาตอบว่ายังไง
"ไม่ ฉันไม่ได้มีหน้าที่เฝ้าสัตว์เลี้ยงของใคร"
เป็นคำตอบที่ยียวนมากที่สุด
เท่าที่ฉันเคยได้ยินเลยทีเดียว
แต่เพราะอะไรน้า ฉันถึงเกลียดเขาไม่ลงสักที
ทั้งๆ ที่ความจริง เขาเองก็ทำกับฉันสารพัดอยู่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นตอนปี 2
ที่ว่าฉันว่าเป็นเลือดสีโคลน
หรือว่าตอนปี 3 ที่เขาเป็นสาเหตุให้บัคบีคถูกตัดสินประหาร
หรือว่าจะเป็นตอนปี
4 ที่เขาเสกให้ฟันของฉันใหญ่ขึ้น
(แม้ว่าเขาจะไม่ได้จงใจเสกมาที่ฉันก็เถอะ)
และไหนจะยังตอนปี 5 ที่หักคะแนนเพราะว่าฉันเป็นเลือดสีโคลนอีก
งี่เง่าชะมัด แต่ที่พูดมาทั้งหมด
ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีส่วนดี
บางที (ในน้อยๆ ครั้ง)
เขาก็น่ารักพอตัวเลยทีเดียว
อย่างเช่นตอนที่เขามาขอฉันเต้นรำนั่นไงล่ะ
ฉันยังจำได้เลย วันนั้นฉันเถียงกับรอนเรื่องวิกเตอร์
ทำให้ฉันเดินออกจากงานด้วยความโมโห
โดยหวังว่าสายลมและแสงดาวจะช่วยทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของฉันคลายลงไปได้บ้าง
ฉันเดินเลี่ยงออกมานอกปราสาท
แต่ก็แทบไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของฉันดีขึ้นมาแม้แต่น้อย
""รอนบ้า บ้าที่สุด" ฉันพึมพำเบาๆ
แล้วเอากิ้งไม้ตีพุ่มไม้ที่ขึ้นอยู่บริเวณดังกล่าวเพื่อระบายอารมณ์
แต่แล้วฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
ฉันจึงหันไปทางนั้นทันที
และก็ต้องตกตะลึง เพราะว่าคนที่หัวเราะฉันคือ
เดรโก มัลฟอย คุณชายประจำบ้านสลิธิริน
และเป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดานักเรียนด้วยกัน
ในวินาทีนั้นฉันยอมรับว่ากลัวหน่อยๆ
ถ้าเขาทำอะไรฉัน ฉํนคงสู้ไม่ได้หรอก
ใครล่ะจะพกไม้กายสิทธิ์ไว้ในชุดราตรี
จะบ้าตาย ถ้าเขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมา
ฉันก็คงไม่รอดล่ะนะ
แต่ระหว่างที่คิดทางหนีทีไล่อยู่นั้น
เขาก็โค้งลงและขอฉันเต้นรำ
น่าประหลาดดีไหม คนที่ดูถูกเหยียดหยามฉันมาตลอด
4 ปี มาขอฉันเต้นรำ ไม่มีทางเลือก
ฉันย่อตัวเป็นเชิงตอบรับเขา
จังหวะที่ฉันแตะมือซีดๆ
ของเขา มีอะไรบางอย่างแล่นผ่านจากมือฉันเข้ามาสู่หัวใจ
ฉันรู้สึกตัวเบาหวิว
ขาไม่แตะพื้น และรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก
พอเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับดวงตาสีซีดของเขา
น่าแปลกที่ฉันไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าดวงตาคู่นี้ฉายแววอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด
เขากระชับตัวฉันมาใกล้ตัวเขายิ่งขึ้น
จนหน้าของฉันซุกไปที่อกกว้างของเขา
ใจเริ่มเต้นไม่เป็นระส่ำ
แต่ฉันก็ไม่ได้ขัดขืน
หรือว่าต่อว่าอะไร อาจเป็นเพราะอกที่แสนอบอุ่นที่เหมือนกับว่าฉันโหยหามานาน
ราวกับว่าเขาเคยกอดฉันอย่างนี้เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว
นี่แหละฉันถึงได้เชื่อตามเขาว่า.........เรารักกันมาก่อนที่จะเจอกันเสียอีก.........
"มัลฟอยเพลงจบแล้วล่ะ"
ฉันพูดเบาๆ เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยตัวฉันสักที
หลังจากที่เพลงได้บรรเลงจบไป
แล้วเริ่มจังหวะสนุกๆ
ขึ้นมา เขาคลายกอดฉันช้าๆ
เรามองหน้าอยู่สักพักนึง
ก่อนที่ฉันจะเดินเลี่ยงมา
ฉันไม่กล้าจะอยู่กับเขานานกว่านี้หรอก
ฉันกลัว.......กลัวใจตัวเอง
......หลังจากวันนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะคอยลอบมองเขา
แต่เขาเองก็ไม่มีท่าทีอะไรกับฉันอีกเลย
คืนนั้นก็คงเป็นแค่ความฝัน
หรือเป็นความเผลอไปสินะ
......
หลังจากนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันตามลำพังอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เราเดินสวนกัน และเขาเองก็ถากถางฉันบ้างตามประสา
ความจำเป็นหลายๆ อย่าง
ทำให้ฉันต้องอยู่กับรอนและแฮร์รี่มากขึ้น
จนกระทั่งวันสุดท้ายของการเรียนปี
6
ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าเล่นตลก
หรือนรกนึกสนุก ศ.มักกอนนากัลถึงให้ฉันมาตรวจบริเวณกับเขาตามลำพังสองคน
เราเดินตรวจกันไปท่ามกลางความเงียบ
เขาไม่พูดกับฉันเลยแม้แต่คำเดียว
แต่ก็ดีเหมือนกัน ไม่พูดก็ไม่มีปัญหา
จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายที่เราจะต้องตรวจ
เขาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"นี่ปีหน้า เธอคิดว่าเธอจะได้เป็นประธานนักเรียนหรือเปล่า"
เขาถามขึ้น พลาเลิกคิ้วมองหน้าฉันกวนๆ
จะมาไม้ไหนอีกนะ ฉันล่ะเดาอารมณ์ผู้ชายคนนี้ไม่ออกจริงๆ
"ฉันเชื่อในการตัดสินของศ.ดัมเบิลดอร์"
ฉันตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
"แต่ฉันคิดว่าฉันได้เป็นอย่างแน่นอน"
เขาพูดอย่างมั่นใจ
"เหอะ" ฉันพูดพลางมองไปอีกทาง
มั่นใจเหลือเกินนะคนเรา
มั่นใจจนน่าหมั่นไส้
"มาพนันกันไหมล่ะ ถ้าฉันได้เป็นประธานนักเรียน
เธอจะต้องทำตามคำขอร้องจากฉัน
3 อย่าง" เขาพูดพลางมองหน้าฉันด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์
จนฉันไม่วางใจ
"ไร้สาระ"
"ไม่กล้า" เขาท้า ราวกับจะยั่ว
"ก็ได้ ถ้านายไม่ได้เป็นละ"
"ก็แล้วแต่เธอ"
"ก็ดี" จบการสนทนาฉันก็สะบัดหน้าไปอีกทางด้วยความขุ่นใจ
ผลเป็นยังไงน่ะเหรอ
ไม่น่าถาม ฉันแพ้น่ะสิ
ตานั่นได้เป็นประธานนักเรียนคู่กับฉัน
อยากจะตั๊นหน้าเขาชะมัด
ตอนที่เจอกันในตู้ของประธานนักเรียน
เขาทำหน้าแบบคนที่เหนือกว่า
"ใช่ ฉันแพ้ นายต้องการอะไรล่ะ
3 ข้อ ว่ามาสิ" ฉันแสร้งพูดเสียงแข็งไปอย่างนั้นเอง
แต่ในใจก็หวั่นๆ อยู่
"ข้อ 1 เธอจะต้องมาอยู่หอประธานนักเรียน"
คำสั่งแรกก็เล่นเอาฉันหนาวๆ
ร้อนๆ เสียแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะทำอะไรฉัน
แต่ยังไงสัญญาก็ต้องเป็นสัญญา
"ข้อ 2 ล่ะ"
"ข้อ 2 เป็นแฟนกับฉัน" เขาพูด
พลางยิ้มที่มุมปาก คำสั่งของเขาทำให้ฉันตกใจจนอ้าปากค้าง
"ห้ามผิดสัญญานะเกรนเจอร์"
เขาพูดจบก็ก้มลงจูบฉันโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว
แต่ยอมรับเลยว่าจูบนั้น
ช่างเป็นจูบที่อ่อนโยนเหลือเกิน
จนฉันไม่อยากให้เขาถอนจูบนั้นออกเลยแม้แต่น้อย
"อย่าลืมสัญญาล่ะ" เขาพูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากตู้ไป
ทิ้งให้ฉันทรุดตัวลงกับที่นั่งด้วยความตกใจ
เนี่ยหล่ะ คือสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งไปหาเขาตอนนี้
เพราะวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์
และคู่รักทุกคู่ต้องไปด้วยกันในวันนี้
เขาบอกอย่างนั้นล่ะนะ........
ฉันยืนหอบอยู่สักพักด้วยความเหนื่อย
จนเขาทำจับไหล่ฉันให้ยืดตรงขึ้น
แล้วบอกให้หายใจเข้าลึกๆ
นั่นแหละ ฉันถึงได้หายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง
แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้ช้าลงไปเลย
กลับเต้นถี่ขึ้นด้วยซ้ำ
พวกเราเดินนู่นเดินนี่ไปเรื่อยๆ
พร้อมกับมือที่เกาะกุมกันอยู่ไม่ห่าง
ตอนนี้ฉันรู้หัวใจตัวเองแล้วล่ะว่ารักเขาเข้าไปเต็มเปา
ไม่มีเหลือแบ่งเก็บเอาไว้ให้ใครเลย
ระหว่างที่เดินที่ฮอกมีดส์ก็มีบางคนมายื่นดอกกุหลาบสีสวยให้
นั่นทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก
บางทีฉันก็อดโมโหไม่ได้ว่า
เขาไม่เชื่อใจฉันเลยหรือ
แต่ทุกครั้งที่ฉันถามเขาด้วยคำถามนี้
เขาก็มักจะตอบว่า เขาเชื่อใจฉัน
แต่ไม่เชื่อใจพวกมัน
เฮ้อ เขาจะรู้ไหม ว่ามันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่หรอก
พอตอนเย็นเราสองคนก็เดินทางกลับมาที่ปราสาท
น่าแปลกใจที่คราวนี้พอฉันบอกกับเขาว่าจะไปกินข้าวกับแฮร์รี่และรอน
เขาไม่มีท่าทางโกรธแม้แต่น้อย
เพียงแต่บอกให้กลับไปที่หอตอน
3 ทุ่มก็เท่านั้น น่าแปลกใจจริงๆ
เพราะปกติจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงนี่นา
......แต่คำตอบของสิ่งที่ฉันสงสัยก็อยู่ตรงหน้าแล้ว
ห้องนั่งเล่นประธานนักเรียนตอนนี้เหมือนกับสวนกุหลาบก็ไม่ปาน
แล้วยังมีไวน์ และตุ๊กตาวงดนตรีอยู่ที่มุมนึงของห้อง
เขาสะบัดไม้กายสิทธิ์ทีเดียว
ตุ๊กตาก็บรรเลงเพลงหวนซึ้ง
เขาโค้งฉันไปเต้นรำ
ซึ่งฉันก็ตอบรับแต่โดยดี
เราเต้นรำกันอยู่นาน
จึงไปกินอาหารที่เขาเตรียมไว้
ก่อนที่เราจะขึ้นไปดูดาวบนหอคอยประธานนักเรียน
เขานั่งกอดฉันจากทางด้านหลัง
ฉันชวนเขานับดาวด้วยความเพลินใจ
ฉันอยากให้ความรักของเราเหมือนกับดาว
มีมากมายจนนับไม่หมด
"นายเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไหม"
ฉันถามเขา เมื่ออยู่ในอารมณ์ที่โรแมนติกสุดๆ
ฉันคิดว่าเขาจะต้องแปลกใจ
และเยาะเย้ยฉันแน่ๆ
แต่เปล่าเลย เขากลับตอบอีกอย่างนึง
ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนโรแมนติกกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก
"ถ้าฉันบอกว่าเชื่อล่ะ
ถ้าฉันบอกเธอว่า ฉันรักเธอตั้งแต่ฉันยังไม่เจอเธอ
เธอจะว่ายังไง"
"เป็นไปได้ยังไงกัน"
ฉันแย้งเขา เป็นไปยังไงที่เขาจะรักฉันก่อนที่จะเจอฉัน
"ฉันเชื่อ ว่าเราเป็นคู่กันตั้งแต่เกิดแล้วไง
แล้วฉันก็รักเธอมาตลอด
พอฉันเจอเธอครั้งแรก
ฉันก็รู้เลยว่าฉันรักเธอ"
เขาพูดยิ้มๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพูดอย่างนี้
และต่อมาเขาก็พูดประโยคนี้ให้ฉันฟังจนฉันเชื่อตามเขาเลยล่ะ
หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้
เขาจูบฉันหลายต่อหลายครั้ง
จนฉันอดที่จะนึกไม่ได้ว่า
เขาจะทำให้ฉันหลงรักเขาไปถึงไหนกันนะ
แต่สุดท้ายค่ำคืนก็ต้องหมดไป
ฉันแยกกับเขาตรงทางเข้าหอนอนประธานนักเรียนหญิง
เราจูบลากัน เพื่อที่จะจบกันใหม่ในตอนเช้า
ฉันไม่เคยคิดเลยว่า
จะมีเรื่องราวที่ทำให้ฉันต้องลงไปหาเขาอีกครั้ง
ฉันเดินตรงเข้าไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
และกำลังจะล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจที่เบิกบาน
แต่ทันใดนั้นเอง ฉันก็เห็นดอกกุหลาบสีขาวสวยวางอยู่บนซองจดหมายสีขาว
ฉันเปิดออกมาอ่านด้วยความแปลกใจ
แต่ก็พอรู้แหละ ว่าเรื่องแบบนี้มีคนเดียวที่ทำ
ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก
........เดรโก.........
"แต่งงานกันนะ ถ้าตกลงฉันรอเธออยู่ที่ห้องนั่งเล่น
ลงมาหาด้วย"
ข้อความสั้นๆ ง่ายๆ
เพียงประโยคเดียว กลับทำให้ฉันน้ำตาไหลด้วยความดีใจ
ฉันค่อยๆ แง้มประตูห้องลงไป
ฉันเห็นเขานั่งที่โซฟาเอามือกุมหน้า
นี่คงนั่งรอฉันอยู่นานแล้วสิ
ก็ฉันน่ะอาบน้ำเร็วเสียที่ไหนกัน
ฉันเดินลงไปนั่งข้างๆ
เขาช้าๆ ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้สึกตัว
แล้วฉันก็กอดเขาเบาๆ
เขาหันมามองหน้าฉันเป็นเชิงขอคำตอบ
ฉันจึงพยักหน้าเบาๆ
เป็นเชิงตอบรับคำขอของเขา
จากนั้นเขาก็ทั้งกอดทั้งจูบฉัน
จนหน้าฉันแทบจะช้ำไปเลย
ดูท่าทางเขาดีใจจริงๆ
แต่ก็ไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่หรอกค่ะ
เพราะฉันก็ดีใจมากๆ
เหมือนกัน ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าเราสองคนจะคบกันจนถึงขึ้นนี้ได้
ไม่คาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ
.
.....
.........
..............
..................
.........................
.............
.........
"นี่พวกนายรู้ว่ารักกันตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ก่อนที่จะเจอกันอีก"
...
........
...............
........................
...............
..........