กาลครั้งหนึ่งในดินแดนอันไกลโพ้น
มีปราสาทสีเงินวาวตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบสีฟ้าใส
สีเงินของปราสาทสะท้อนแวบวับรับกับน้ำสีฟ้า
ดูคล้ายกำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งต่างกับบรรยากาศในปราสาทตอนนี้ราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว ภายในปราสาทสีเงินวาว
ห้องสีฟ้าเล็กๆ ที่มีบริวารล้อมรอบ
มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง
นามว่าเจ้าหญิงฟาเกส
ขณะนี้เจ้าหญิงฟาเกสกำลังเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง
เหล่านางสนมบริวารต้องคอยเช็ดน้ำตาให้อยู่ไม่ขาด
ผ้าเช็ดหน้าผืนแล้วผืนเล่าถูกนำมาซับน้ำตาเจ้าหญิง
ข้าทาสบริวารทั้งหลายต้องวุ่นวายไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ผลัดเวียนกันมาดูแลเจ้าหญิง
บรรยากาศในปราสาทสีเงินวาวเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเศร้า
ณ
ดินแดนอันไกลโพ้น ณ ปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า
ณ ห้องสีทองที่ถูกประดับด้วยเพชรนิลจินดามากมาย
พระราชาและพระราชินีนั่งปรึกษาหารือกัน
“ตอนนี้ปราสาทสีเงินวาวของเราวุ่นวายไปหมด
จนไม่รู้จะทำเช่นไรดี”
พระราชินีพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย
ตอนนี้เราให้ทหารปิดประกาศไปทั่วเมืองหาผู้กล้าที่จะแก้ไขปัญหาของเจ้าหญิงได้”
...........................................................................................................................................
“ประกาศจากปราสาทสีเงินวาว
เนื่องด้วยขณะนี้มีปีศาจร้ายนามว่า
บาสกู ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตของปราสาทและได้ปิดประตูแห่งความทรงจำของเจ้าหญิงฟาเกสไป
ทำให้เจ้าหญิงมีความทรงจำที่สั้นเพียงชั่งขณะหายใจ
หากมีผู้กล้าคนใดสามารถที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้พระราชาจะมีรางวัลให้อย่างงาม”
ในเมืองใกล้ๆกับปราสาทสีเงินวาว
ในตลาดที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา
บริเวณที่ทหารติดประกาศมีประชาชนในเมืองแวะเวียนสนใจเข้าไปอ่านประกาศ
บรรดาผู้ชายหลายคนหลายวัยต่างอวดอ้างในความสามารถของตน
บ้างก็ว่าจะไปปราบปีศาจบาสกู
บ้างก็ว่าจะไปหายาวิเศษ
บ้างก็ว่าจะไปซับน้ำตาเจ้าหญิง
เอากับเขาสิ
ทีนี้ลองมาดูกันดีกว่าว่าใครมีลีลาในการเสนอวิธีการช่วยเจ้าหญิงอย่างไร
แต่ถ้าจะกล่าวทั้งหมดก็คงจะไม่ไหวหรอกนะ
เพราะมีเหล่าบรรดาผู้กล้าทั้งหลายอาสาช่วยเจ้าหญิงฟาเกสจนมากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว
ชายคนแรกที่จะเล่าให้ฟังเป็นชาวเมืองของปราสาทสีเงินวาวนี่เอง
ชายผู้นี้ยึดอาชีพหาของป่ามาขาย
ตอนเข้าเฝ้าพระราชา
พระราชินี และเจ้าหญิงฟาเกสนั้น
แต่งชุดที่ทำจากหนังกวางสีน้ำตาลลายจุด
ไม่มีแขน ในมือถือเอาห่อใบไม้ข้างในใส่ของป่าที่คาดว่าเป็นยาสำหรับแก้คำสาปของปีศาจบาสกู
“นั่นคือสิ่งใด”
พระราชาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ชายคนดังกล่าวทำความเคารพ
“สิ่งนี้คือ
ยาวิเศษที่ได้สูตรการปรุงยามาจากชายผู้มีอำนาจวิเศษที่อาศัยอยู่ในดินแดนตอนใต้สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด”
ชายที่สวมชุดหนังกวางกล่าวพร้อมกับยื่นห่อดังกล่าวให้กับมหาดเล็กคนสนิทของพระราชา
“หมายความว่ายาชนิดนี้สามารถทำให้เจ้าหญิงลับมามีความทรงจำดีตามเดิมอย่างนั้นหรือ”
พระราชาถามอย่างตื่นเต้น
“ถูกต้องแล้ว
เพียงแต่นำตัวยาชนิดนี้ไปต้มให้เจ้าหญิงดื่มไม่เกินหายใจเข้าเจ้าหญิงก็จะหายดีดังเดิม”
พอชายที่สวมชุดหนังกวางพูดจบพระราชาก็รีบสั่งให้นางกำนัลนำยาไปต้ม
เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก
ถ้าจะเทียบก็ต้องเปรียบเปรยว่าเด็กกินไอศกริมไม่ทันหมดแท่ง
ตดยังไม่ทันหายเหม็น
ก็มีกลิ่นยาโชยออกมาจากห้องครัว
ทั้งคนที่อยู่ในวังนอกวัง
เจ้าขุนมูลนาย หรือแม้แต่หมาก็ยังต้องปิดจมูก
กลิ่นเหมือนอะไรนั้นผมไม่สามารถบรรยายได้
ให้ทุกท่านทราบเพียงแต่ว่าเป็นกลิ่นที่อาจทำให้คนหรือสิ่งมีชีวิตในโลกตายได้เลยละ
ไม่กี่อึดใจยาก็ปรุงเสร็จ ขณะนี้ยาที่สามารถช่วยให้ความทรงจำของเจ้าหญิงกลับมาปกติเหมือนเดิมอยู่ตรงหน้าเจ้าหญิงแล้ว
นางกำนัลจัดแจงรินยาสีดำสนิทใส่ถ้วยให้เจ้าหญิงดื่ม
ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าตอนนี้ใบหน้าของเจ้าหญิงแหยเกเพียงใด
ทรงถือถ้วยยาอยู่นานก่อนตัดสินใจถามว่า
“เจ้ายาชนิดนี้ ไม่ทราบว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง”
ชายที่สวมชุดที่ทำมาจากหนังกวางรีบตอบเร็วพลัน
“ทำมาจากหางจิ้งจกเจ็ดตัว
นัยน์ตาตุ๊กแกหกดวง
นิ้วจระเข้ห้านิ้ว ลำไส้ใหญ่ของกิ้งก่าสี่ตัว มูลค้างคาวที่ยังค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่สามตัว
ดีช้างสองตัว และ หัวใจเสือหนึ่งตัว
เมื่อได้ส่วนผสมนี้แล้วก็นำมาต้มในน้ำเคี่ยวจนน้ำระเหยออกหมดแล้วเก็บตัวยาไว้
รักษาได้สารพัดโรค”
เจ้าหญิงฟาเกสทำหน้าพะอืดพะอม
แล้วหันหน้าไปมองพระราชาและพระราชินี
ทั้งสองพระองค์มองเจ้าหญิงฟาเกสและพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เจ้าหญิงดื่มยานี้ให้หมด
เจ้าหญิงฟาเกสจึงจำใจยกยาดื่มจนหมดแก้ว
ทันทีที่ดื่มหมดเจ้าหญิงก็ยืนขึ้น
ตาค้าง และสลบไป เหล่านางสนมกำนัลรีบพาเข้ามาพยุงเจ้าหญิงไปสู่ห้องของพระองค์
ทันใดนั้นทุกสายตาก็จ้องไปที่ชายในชุดหนังกวางเนเชิงถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ชายในชุดหนังกวางตระหนกพอควรที่เห็นอาการเจ้าหญิงเป็นเช่นนั้น
แต่พอได้สติคืนกลับก็กราบบังคมทูลว่าพอเจ้าหญิงฟื้นคืนสติก็จะหายเป็นปกติ
เวลาผ่านไปสามวันสามคืน
เจ้าหญิงก็ยังไม่ฟื้น
พระราชาและพระราชินีก็เฝ้าไต่ถามชายในชุดหนังกวางอยู่ไม่ขาดว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าหญิงจะฟื้น
ชายในชุดหนังกวางก็บ่ายเบี่ยงอยู่ตลอด และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาเสนอสูตรยาช่วยเจ้าหญิงพระราชาเห็นก็ได้แต่ขยาดไม่กล้าให้เจ้าหญิงดื่ม
แต่สนมนางในก็ซุบซิบกันว่าบรรดาสูตรยาที่พระราชาปฏิเสธไปนั้นพระราชินีแอบเอาสูตรยาแล้วสั่งสนมนางในปรุงเตรียมไว้เผื่อยาตัวที่เจ้าหญิงดื่มไปไม่ได้ผล
พระอาทิตย์ขึ้นและตกไปเจ็ดครั้งเจ็ดหนเจ้าหญิงจึงฟื้นคืนสติ
พอเจ้าหญิงฟื้นขึ้นมาทุกคนก็เฝ้ารอด้วยใจจดใจจ่อว่าเจ้าหญิงจะมีความทรงจำที่ดีเยี่ยงเดิมหรือไม่
แต่ในท้ายที่สุดยาที่ทำให้เจ้าหญิงสลบไปเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ไม่สามารถทำให้เจ้าหญิงมีความทรงจำที่ดีดังเดิมได้
หลังจากเจ้าหญิงฟื้นมาก็ทรงลืมทุกสิ่งที่ผ่านมา
ลืมแม้แต่รสชาติและกลิ่นของยาที่ทำให้พระองค์สลบไปหลังจากนั้นก็มียาหลากหลายชนิดมาให้เจ้าหญิงทรงดื่มมากมาย
เหมือนเป็นช่วงเทศกาลกินยา
แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเจ้าหญิงจะพ้นคำสาปเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าเจ้าหญิงจะทรงจำยาที่ดื่มไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
ทรงจำไม่ได้แม้แต่พระองค์เคยดื่มยามาบ้างแล้ว
แต่ทุกครั้งที่พระองค์เห็นถ้วยยาจะทำท่าหวาดๆ
สงสัยจะเป็นจิตใต้สำนึกบอกว่าสิ่งนี้อาจทำอันตรายแก่ตัวเจ้าหญิงกระมัง
หลังจากเทศกาลยาผ่านไปเจ้าหญิงก็ตกอยู่ในความทุกข์ระทมอีกครั้ง
เพราะไม่มีชาวบ้านหรือผู้กล้าคนใดอาสาที่จะมาช่วยเจ้าหญิงอีกแล้ว
อาจเป็นเพราะนิสัยที่ขี้เบื่อของชาวเมือง
หรืออาจเป็นเพราะจนปัญญาไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้าหญิงอย่างไรก็เป็นได้
เพราะตอนนี้ชาวบ้านเกือบทุกคนดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
บรรยากาศที่เงียบสงัดในยามค่ำคืนของดินแดนแห่งปราสาทสีเงินวาว
มีเพียงพระจันทร์สีน้ำเงินกลมโตที่ทอแสงประกายบนฟากฟ้าในคืนนี้
บรรดาดวงดาวต่างซุกซ่อนตัวภายใต้แสงจันทร์อันสว่างไสว
ขณะนี้เมืองทั้งเมืองหลับไหล
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงควบม้ามาจากทางทิศใต้
เสียงม้านั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมือง
ดวงไฟจากเทียนเล่มเล็กค่อยถูกจุดขึ้นทีละดวงสองดวง
ไม่กี่อึดใจทั้งเมืองก็สว่างไสวไปด้วยไฟดวงเล็กๆที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น
ชาวบ้านต่างพยายามมองว่าใครกันเป็นผู้ทำลายความเงียบแห่งราตรีในค่ำคืนนี้
ชายในชุดสีน้ำเงินกับม้าคู่ใจสีขาวควบมาด้วยความเร็วเกินกว่าที่ผู้ใดจะจับการเคลื่อนไหวของเขาได้
เขากำลังมุ่งหน้าไปที่ปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า
“ เราเดินทางมาจากแดนไกล
เพื่อช่วยเจ้าหญิงฟาเกสให้พ้นจากความทุกข์ทน”
ชายนิรนามกล่าวขึ้นเมื่อเดินทางมาถึงประตูปราสาท
ไม่ช้าไม่นานประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ
สะพานไม้สีน้ำตาลถูกถอดยาวเพื่อให้ชายนิรนามก้าวผ่านมาชายผู้นั้นถูกนำไปยังห้องโถงของปราสาทที่เดียวกับผู้กล้าคนอื่นๆที่อาสาช่วยเจ้าหญิง
“กระหม่อมชื่อ
แฮส มาจากดินแดนอันไกลโพ้นทางทิศใต้
ที่เดินทางมาพบในยามวิกาลเช่นนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยถอนคำสาปของปีศาจร้ายบาสกูที่มีต่อเจ้าหญิงฟาเกส
ขออนุญาตให้กระหม่อมได้ใช้ความสามารถในการช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากความทุกข์ทนด้วยเถิด”
ชายนิรนามกล่าวหลังจากที่โค้งคำนับต่อพระราชา
พระราชินีและเจ้าหญิง
“เจ้ามีวิธีการใดว่ามา”พระราชาถามด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม
“กระหม่อมไม่สามารถตอบได้ในเวลานี้เพียงแต่ว่าขออนุญาตให้กระหม่อมได้อยู่ตรวจอาการและคอยอยู่รักษาเจ้าหญิงอย่างใกล้ชิดไม่ช้าเจ้าหญิงก็จะมีอาการดีขึ้น”
แฮสกล่าวอย่างมั่นใจ
พระราชาได้ยินดังนั้นจึงอนุญาตตามที่แฮสชายนิรนามร้องขอ
แต่ติงเพียงแต่ว่าขอให้เริ่มตรวจและรักษาเจ้าหญิงในเช้าวันรุ่งขึ้นเพราะขณะนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วเจ้าหญิงและทุกๆคนควรได้รับการพักผ่อนเพื่อต้อนรับวันใหม่ที่สดใส
เช้าวันรุ่งขึ้น
พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่เช่นทุกวัน เสียงนกร้องกังวาลแว่วหวานใสไปทั่วทั้งเมืองราวกับว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้นในเช้าวันใหม่
ปราสาทสีเงินวาววันนี้ดูงามวาววับเป็นพิเศษกว่าทุกวัน
ยอกแหลมที่สูงเสียดฟ้าก็ดูเหมือนว่าจะทิ่มแทงฟ้าให้ขาดเลยทีเดียว
ในปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงสูงเสียดฟ้า
ในห้องโถงสีทองงามระยับ
ที่ถูกประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดามากมาย
มรพระราชานั่งอยู่ที่บัลลังก์สูงสุด
โดยมีเพระราชินีแลเจ้าหญิงฟาเกสนั่งขนาบซ้ายขวา
เหล่าขุนนางมหาดเล็ก
ยืนเรียงรายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บ้างก็พากันซุบซิบว่าผู้กล้าคนนี้จะสามารถช่วยเจ้าหญิงได้จริงหรือ
บ้างก็วิจารณ์การแต่งตัวของชายนิรนามว่าดูลึกลับอาจเป็นคนไม่ดี
กลางห้องโถงชายนิรนามยืนอยู่ด้วยชุดสีดำสนิท
ผ้าคลุมสีดำพริ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่านห้องโถงทำให้ชายนิรนามแฮสดูลึกลับและน่าสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก
“ชายผู้นี้มีนามว่า
แฮส เดินทางมาจากดินแดนทางใต้เพื่อมาช่วยเจ้าหญิงฟาเกสให้พ้นจากความทุกข์ทน
จากวันนี้ไปหากชายผู้นี้ต้องการสิ่งใดที่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหญิง
ทุกคนโปรดต้องให้ความร่วมมืออย่างสุดกำลังความสามารถ
เราขอประกาศให้รับทราบทั่วกัน”จบคำประกาศจากพระราชาทุกคนก็แยกย้ายกันไป
หลังจากวันที่พระราชาประกาศอย่างเป็นทางการว่าแฮสมีสิทธิทุกประการที่จะกระทำทุกอย่างเพื่อแก้คำสาปให้เจ้าหญิง
แฮสก็ติดตามเจ้าหญิงอยู่ตลอดเวลาจะเว้นก็แต่ยามหลับเท่านั้นที่เจ้าหญิงจะอยู่เพียงลำพัง
เวลาผ่านไปนานนับเดือนก็ไม่ปรากฏว่าแฮสชายนิรนามจะทำสิ่งใดที่เป็นการรักษาเจ้าหญิงเลย
ยาที่จะให้เจ้าหญิงดื่ม
หรือพิธีกรรมต่างๆที่ทุกคนคาดหวังว่าก็มีก็ไม่ปรากฏแม้แต่น้อย
จนข้าราชบริพาร นายทหารมหาดเล็ก
รวมไปถึงนางสนมนางใน
หรือแม้แต่พระราชาและพระราชินีต่างพากันสงสัยและเริ่มลังเลใจว่าแฮสจะใช่คนที่มาปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับเจ้าหญิงและชาวเมืองจริงหรือไม่
ด้วยความสงสัยแต่เสียงซุบซิบนินทาเริ่มหนาหูขึ้น
และแล้ววันหนึ่งพระราชาจึงเรียกแฮสเข้าพบเพื่อไต่ถามเรื่องราว
“หลังจากที่เจ้าได้อยู่ที่ปราสาทสีเงินวาวของเรานานนับเดือนแล้วเช่นนี้
เราก็ไม่เห็นเจ้าทำการสิ่งใดเลย
แล้วเมื่อไรเจ้าหญิงจะมีความทรงจำที่ดีเช่นเดิมได้เล่า”
พระราชาถามด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ข้าราชบริพารที่อยู่ในห้องโถงเวลานั้นก็ต่างรอฟังคำตอบจากปากของแฮสด้วยความใจจดใจจ่อ
“การดื่มยา
และพิธีกรรมใดๆไม่จำเป็นต่อการรักษาเจ้าหญิง
เพียงแต่เจ้าหญิงอยู่ใกล้ๆกระหม่อมทุกวันไม่ช้าคำสาปก็จะจางหายๆไป”
แฮสตอบพรางมองหน้าเจ้าหญิง
“จริงรึ
ท่านข้อพิสูจน์อะไรที่จะบอกได้ว่าคำกล่าวของท่านเป็นจริงตามที่ได้กล่าวอ้าง”พระราชาถาม
หลังจากนั้นแฮสชายนิรนามก็ถามคำถามเจ้าหญิงหลายต่อหลายคำถาม
ไม่เพียงเท่านั้นยังเปิดโอกาสให้ทุกคนถามคำถามเพื่อเป็นการทดสอบความทรงจำ
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหญิงสามารถตอบได้ทุกคำถาม
เหล่าข้าราชบริพารแต่โห่ร้องสรรเสริญ
พระราชาสั่งให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่เจ้าหญิงมีความทรงจำที่ดีดังเดิม
ในคืนที่พระจันทร์สีน้ำเงินทอแสง
ในปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า
มีงานเลี้ยงฉลองที่ปราสาท
พระเอกในงานนี้จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกเสียจากชายนิรนามที่มีนามว่า
แฮส ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา
ไม่มีใครรู้ว่าเขาหวังดีหรือหวังร้าย
ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเขามาจากดินแดนอันไกลโพ้นที่อยู่ทางใต้
ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเขาเป็นผู้ช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากความทุกข์ระทม