pue's tales ; tales from pue
The Three Moons
Home
Fiction
HP-FanFiction
Non - Fiction
links

บทที่ 1 ความทรงจำที่หายไป

                กาลครั้งหนึ่งในดินแดนอันไกลโพ้น มีปราสาทสีเงินวาวตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบสีฟ้าใส สีเงินของปราสาทสะท้อนแวบวับรับกับน้ำสีฟ้า ดูคล้ายกำลังหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน  ซึ่งต่างกับบรรยากาศในปราสาทตอนนี้ราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว   ภายในปราสาทสีเงินวาว ห้องสีฟ้าเล็กๆ ที่มีบริวารล้อมรอบ มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง นามว่าเจ้าหญิงฟาเกส 

ขณะนี้เจ้าหญิงฟาเกสกำลังเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง เหล่านางสนมบริวารต้องคอยเช็ดน้ำตาให้อยู่ไม่ขาด ผ้าเช็ดหน้าผืนแล้วผืนเล่าถูกนำมาซับน้ำตาเจ้าหญิง ข้าทาสบริวารทั้งหลายต้องวุ่นวายไม่ได้หลับไม่ได้นอน ผลัดเวียนกันมาดูแลเจ้าหญิง บรรยากาศในปราสาทสีเงินวาวเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเศร้า

ณ ดินแดนอันไกลโพ้น ณ ปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า ณ ห้องสีทองที่ถูกประดับด้วยเพชรนิลจินดามากมาย พระราชาและพระราชินีนั่งปรึกษาหารือกัน

“ตอนนี้ปราสาทสีเงินวาวของเราวุ่นวายไปหมด จนไม่รู้จะทำเช่นไรดี” พระราชินีพูดด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

“เจ้าอย่ากังวลไปเลย ตอนนี้เราให้ทหารปิดประกาศไปทั่วเมืองหาผู้กล้าที่จะแก้ไขปัญหาของเจ้าหญิงได้”

...........................................................................................................................................

 

“ประกาศจากปราสาทสีเงินวาว เนื่องด้วยขณะนี้มีปีศาจร้ายนามว่า บาสกู ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตของปราสาทและได้ปิดประตูแห่งความทรงจำของเจ้าหญิงฟาเกสไป ทำให้เจ้าหญิงมีความทรงจำที่สั้นเพียงชั่งขณะหายใจ หากมีผู้กล้าคนใดสามารถที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้พระราชาจะมีรางวัลให้อย่างงาม”

ในเมืองใกล้ๆกับปราสาทสีเงินวาว ในตลาดที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา บริเวณที่ทหารติดประกาศมีประชาชนในเมืองแวะเวียนสนใจเข้าไปอ่านประกาศ บรรดาผู้ชายหลายคนหลายวัยต่างอวดอ้างในความสามารถของตน บ้างก็ว่าจะไปปราบปีศาจบาสกู บ้างก็ว่าจะไปหายาวิเศษ บ้างก็ว่าจะไปซับน้ำตาเจ้าหญิง เอากับเขาสิ

ทีนี้ลองมาดูกันดีกว่าว่าใครมีลีลาในการเสนอวิธีการช่วยเจ้าหญิงอย่างไร แต่ถ้าจะกล่าวทั้งหมดก็คงจะไม่ไหวหรอกนะ เพราะมีเหล่าบรรดาผู้กล้าทั้งหลายอาสาช่วยเจ้าหญิงฟาเกสจนมากมายนับกันไม่หวาดไม่ไหว 

                ชายคนแรกที่จะเล่าให้ฟังเป็นชาวเมืองของปราสาทสีเงินวาวนี่เอง ชายผู้นี้ยึดอาชีพหาของป่ามาขาย ตอนเข้าเฝ้าพระราชา พระราชินี และเจ้าหญิงฟาเกสนั้น แต่งชุดที่ทำจากหนังกวางสีน้ำตาลลายจุด ไม่มีแขน ในมือถือเอาห่อใบไม้ข้างในใส่ของป่าที่คาดว่าเป็นยาสำหรับแก้คำสาปของปีศาจบาสกู

                “นั่นคือสิ่งใด” พระราชาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ชายคนดังกล่าวทำความเคารพ

                “สิ่งนี้คือ ยาวิเศษที่ได้สูตรการปรุงยามาจากชายผู้มีอำนาจวิเศษที่อาศัยอยู่ในดินแดนตอนใต้สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด” ชายที่สวมชุดหนังกวางกล่าวพร้อมกับยื่นห่อดังกล่าวให้กับมหาดเล็กคนสนิทของพระราชา

                “หมายความว่ายาชนิดนี้สามารถทำให้เจ้าหญิงลับมามีความทรงจำดีตามเดิมอย่างนั้นหรือ” พระราชาถามอย่างตื่นเต้น

                “ถูกต้องแล้ว เพียงแต่นำตัวยาชนิดนี้ไปต้มให้เจ้าหญิงดื่มไม่เกินหายใจเข้าเจ้าหญิงก็จะหายดีดังเดิม”

พอชายที่สวมชุดหนังกวางพูดจบพระราชาก็รีบสั่งให้นางกำนัลนำยาไปต้ม

                เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก ถ้าจะเทียบก็ต้องเปรียบเปรยว่าเด็กกินไอศกริมไม่ทันหมดแท่ง ตดยังไม่ทันหายเหม็น ก็มีกลิ่นยาโชยออกมาจากห้องครัว ทั้งคนที่อยู่ในวังนอกวัง เจ้าขุนมูลนาย หรือแม้แต่หมาก็ยังต้องปิดจมูก กลิ่นเหมือนอะไรนั้นผมไม่สามารถบรรยายได้ ให้ทุกท่านทราบเพียงแต่ว่าเป็นกลิ่นที่อาจทำให้คนหรือสิ่งมีชีวิตในโลกตายได้เลยละ

                ไม่กี่อึดใจยาก็ปรุงเสร็จ  ขณะนี้ยาที่สามารถช่วยให้ความทรงจำของเจ้าหญิงกลับมาปกติเหมือนเดิมอยู่ตรงหน้าเจ้าหญิงแล้ว นางกำนัลจัดแจงรินยาสีดำสนิทใส่ถ้วยให้เจ้าหญิงดื่ม

                ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าตอนนี้ใบหน้าของเจ้าหญิงแหยเกเพียงใด ทรงถือถ้วยยาอยู่นานก่อนตัดสินใจถามว่า “เจ้ายาชนิดนี้ ไม่ทราบว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง”

                ชายที่สวมชุดที่ทำมาจากหนังกวางรีบตอบเร็วพลัน “ทำมาจากหางจิ้งจกเจ็ดตัว นัยน์ตาตุ๊กแกหกดวง นิ้วจระเข้ห้านิ้ว ลำไส้ใหญ่ของกิ้งก่าสี่ตัว   มูลค้างคาวที่ยังค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่สามตัว ดีช้างสองตัว และ หัวใจเสือหนึ่งตัว เมื่อได้ส่วนผสมนี้แล้วก็นำมาต้มในน้ำเคี่ยวจนน้ำระเหยออกหมดแล้วเก็บตัวยาไว้ รักษาได้สารพัดโรค”

                เจ้าหญิงฟาเกสทำหน้าพะอืดพะอม แล้วหันหน้าไปมองพระราชาและพระราชินี ทั้งสองพระองค์มองเจ้าหญิงฟาเกสและพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้เจ้าหญิงดื่มยานี้ให้หมด เจ้าหญิงฟาเกสจึงจำใจยกยาดื่มจนหมดแก้ว ทันทีที่ดื่มหมดเจ้าหญิงก็ยืนขึ้น ตาค้าง และสลบไป  เหล่านางสนมกำนัลรีบพาเข้ามาพยุงเจ้าหญิงไปสู่ห้องของพระองค์ ทันใดนั้นทุกสายตาก็จ้องไปที่ชายในชุดหนังกวางเนเชิงถามว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ชายในชุดหนังกวางตระหนกพอควรที่เห็นอาการเจ้าหญิงเป็นเช่นนั้น แต่พอได้สติคืนกลับก็กราบบังคมทูลว่าพอเจ้าหญิงฟื้นคืนสติก็จะหายเป็นปกติ

                เวลาผ่านไปสามวันสามคืน เจ้าหญิงก็ยังไม่ฟื้น พระราชาและพระราชินีก็เฝ้าไต่ถามชายในชุดหนังกวางอยู่ไม่ขาดว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าหญิงจะฟื้น ชายในชุดหนังกวางก็บ่ายเบี่ยงอยู่ตลอด  และในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาเสนอสูตรยาช่วยเจ้าหญิงพระราชาเห็นก็ได้แต่ขยาดไม่กล้าให้เจ้าหญิงดื่ม แต่สนมนางในก็ซุบซิบกันว่าบรรดาสูตรยาที่พระราชาปฏิเสธไปนั้นพระราชินีแอบเอาสูตรยาแล้วสั่งสนมนางในปรุงเตรียมไว้เผื่อยาตัวที่เจ้าหญิงดื่มไปไม่ได้ผล

                พระอาทิตย์ขึ้นและตกไปเจ็ดครั้งเจ็ดหนเจ้าหญิงจึงฟื้นคืนสติ พอเจ้าหญิงฟื้นขึ้นมาทุกคนก็เฝ้ารอด้วยใจจดใจจ่อว่าเจ้าหญิงจะมีความทรงจำที่ดีเยี่ยงเดิมหรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดยาที่ทำให้เจ้าหญิงสลบไปเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ไม่สามารถทำให้เจ้าหญิงมีความทรงจำที่ดีดังเดิมได้

                หลังจากเจ้าหญิงฟื้นมาก็ทรงลืมทุกสิ่งที่ผ่านมา ลืมแม้แต่รสชาติและกลิ่นของยาที่ทำให้พระองค์สลบไปหลังจากนั้นก็มียาหลากหลายชนิดมาให้เจ้าหญิงทรงดื่มมากมาย เหมือนเป็นช่วงเทศกาลกินยา แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเจ้าหญิงจะพ้นคำสาปเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเจ้าหญิงจะทรงจำยาที่ดื่มไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว ทรงจำไม่ได้แม้แต่พระองค์เคยดื่มยามาบ้างแล้ว แต่ทุกครั้งที่พระองค์เห็นถ้วยยาจะทำท่าหวาดๆ สงสัยจะเป็นจิตใต้สำนึกบอกว่าสิ่งนี้อาจทำอันตรายแก่ตัวเจ้าหญิงกระมัง

                หลังจากเทศกาลยาผ่านไปเจ้าหญิงก็ตกอยู่ในความทุกข์ระทมอีกครั้ง เพราะไม่มีชาวบ้านหรือผู้กล้าคนใดอาสาที่จะมาช่วยเจ้าหญิงอีกแล้ว อาจเป็นเพราะนิสัยที่ขี้เบื่อของชาวเมือง หรืออาจเป็นเพราะจนปัญญาไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้าหญิงอย่างไรก็เป็นได้ เพราะตอนนี้ชาวบ้านเกือบทุกคนดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

                บรรยากาศที่เงียบสงัดในยามค่ำคืนของดินแดนแห่งปราสาทสีเงินวาว มีเพียงพระจันทร์สีน้ำเงินกลมโตที่ทอแสงประกายบนฟากฟ้าในคืนนี้ บรรดาดวงดาวต่างซุกซ่อนตัวภายใต้แสงจันทร์อันสว่างไสว ขณะนี้เมืองทั้งเมืองหลับไหล ทันใดนั้นเองก็มีเสียงควบม้ามาจากทางทิศใต้ เสียงม้านั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมือง ดวงไฟจากเทียนเล่มเล็กค่อยถูกจุดขึ้นทีละดวงสองดวง ไม่กี่อึดใจทั้งเมืองก็สว่างไสวไปด้วยไฟดวงเล็กๆที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น ชาวบ้านต่างพยายามมองว่าใครกันเป็นผู้ทำลายความเงียบแห่งราตรีในค่ำคืนนี้ ชายในชุดสีน้ำเงินกับม้าคู่ใจสีขาวควบมาด้วยความเร็วเกินกว่าที่ผู้ใดจะจับการเคลื่อนไหวของเขาได้ เขากำลังมุ่งหน้าไปที่ปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า

                “ เราเดินทางมาจากแดนไกล เพื่อช่วยเจ้าหญิงฟาเกสให้พ้นจากความทุกข์ทน” ชายนิรนามกล่าวขึ้นเมื่อเดินทางมาถึงประตูปราสาท

                ไม่ช้าไม่นานประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ สะพานไม้สีน้ำตาลถูกถอดยาวเพื่อให้ชายนิรนามก้าวผ่านมาชายผู้นั้นถูกนำไปยังห้องโถงของปราสาทที่เดียวกับผู้กล้าคนอื่นๆที่อาสาช่วยเจ้าหญิง

                “กระหม่อมชื่อ แฮส มาจากดินแดนอันไกลโพ้นทางทิศใต้ ที่เดินทางมาพบในยามวิกาลเช่นนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยถอนคำสาปของปีศาจร้ายบาสกูที่มีต่อเจ้าหญิงฟาเกส ขออนุญาตให้กระหม่อมได้ใช้ความสามารถในการช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากความทุกข์ทนด้วยเถิด” ชายนิรนามกล่าวหลังจากที่โค้งคำนับต่อพระราชา พระราชินีและเจ้าหญิง

                “เจ้ามีวิธีการใดว่ามา”พระราชาถามด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม

                “กระหม่อมไม่สามารถตอบได้ในเวลานี้เพียงแต่ว่าขออนุญาตให้กระหม่อมได้อยู่ตรวจอาการและคอยอยู่รักษาเจ้าหญิงอย่างใกล้ชิดไม่ช้าเจ้าหญิงก็จะมีอาการดีขึ้น” แฮสกล่าวอย่างมั่นใจ

                พระราชาได้ยินดังนั้นจึงอนุญาตตามที่แฮสชายนิรนามร้องขอ แต่ติงเพียงแต่ว่าขอให้เริ่มตรวจและรักษาเจ้าหญิงในเช้าวันรุ่งขึ้นเพราะขณะนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วเจ้าหญิงและทุกๆคนควรได้รับการพักผ่อนเพื่อต้อนรับวันใหม่ที่สดใส

                เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่เช่นทุกวัน  เสียงนกร้องกังวาลแว่วหวานใสไปทั่วทั้งเมืองราวกับว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้นในเช้าวันใหม่ ปราสาทสีเงินวาววันนี้ดูงามวาววับเป็นพิเศษกว่าทุกวัน ยอกแหลมที่สูงเสียดฟ้าก็ดูเหมือนว่าจะทิ่มแทงฟ้าให้ขาดเลยทีเดียว

                ในปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงสูงเสียดฟ้า ในห้องโถงสีทองงามระยับ ที่ถูกประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดามากมาย มรพระราชานั่งอยู่ที่บัลลังก์สูงสุด โดยมีเพระราชินีแลเจ้าหญิงฟาเกสนั่งขนาบซ้ายขวา เหล่าขุนนางมหาดเล็ก ยืนเรียงรายด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างก็พากันซุบซิบว่าผู้กล้าคนนี้จะสามารถช่วยเจ้าหญิงได้จริงหรือ บ้างก็วิจารณ์การแต่งตัวของชายนิรนามว่าดูลึกลับอาจเป็นคนไม่ดี กลางห้องโถงชายนิรนามยืนอยู่ด้วยชุดสีดำสนิท ผ้าคลุมสีดำพริ้วไหวไปตามแรงลมที่พัดผ่านห้องโถงทำให้ชายนิรนามแฮสดูลึกลับและน่าสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก

                “ชายผู้นี้มีนามว่า แฮส เดินทางมาจากดินแดนทางใต้เพื่อมาช่วยเจ้าหญิงฟาเกสให้พ้นจากความทุกข์ทน จากวันนี้ไปหากชายผู้นี้ต้องการสิ่งใดที่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหญิง ทุกคนโปรดต้องให้ความร่วมมืออย่างสุดกำลังความสามารถ เราขอประกาศให้รับทราบทั่วกัน”จบคำประกาศจากพระราชาทุกคนก็แยกย้ายกันไป

                หลังจากวันที่พระราชาประกาศอย่างเป็นทางการว่าแฮสมีสิทธิทุกประการที่จะกระทำทุกอย่างเพื่อแก้คำสาปให้เจ้าหญิง แฮสก็ติดตามเจ้าหญิงอยู่ตลอดเวลาจะเว้นก็แต่ยามหลับเท่านั้นที่เจ้าหญิงจะอยู่เพียงลำพัง เวลาผ่านไปนานนับเดือนก็ไม่ปรากฏว่าแฮสชายนิรนามจะทำสิ่งใดที่เป็นการรักษาเจ้าหญิงเลย ยาที่จะให้เจ้าหญิงดื่ม หรือพิธีกรรมต่างๆที่ทุกคนคาดหวังว่าก็มีก็ไม่ปรากฏแม้แต่น้อย จนข้าราชบริพาร นายทหารมหาดเล็ก รวมไปถึงนางสนมนางใน หรือแม้แต่พระราชาและพระราชินีต่างพากันสงสัยและเริ่มลังเลใจว่าแฮสจะใช่คนที่มาปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับเจ้าหญิงและชาวเมืองจริงหรือไม่ ด้วยความสงสัยแต่เสียงซุบซิบนินทาเริ่มหนาหูขึ้น และแล้ววันหนึ่งพระราชาจึงเรียกแฮสเข้าพบเพื่อไต่ถามเรื่องราว

                “หลังจากที่เจ้าได้อยู่ที่ปราสาทสีเงินวาวของเรานานนับเดือนแล้วเช่นนี้ เราก็ไม่เห็นเจ้าทำการสิ่งใดเลย แล้วเมื่อไรเจ้าหญิงจะมีความทรงจำที่ดีเช่นเดิมได้เล่า” พระราชาถามด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม ข้าราชบริพารที่อยู่ในห้องโถงเวลานั้นก็ต่างรอฟังคำตอบจากปากของแฮสด้วยความใจจดใจจ่อ

                “การดื่มยา และพิธีกรรมใดๆไม่จำเป็นต่อการรักษาเจ้าหญิง เพียงแต่เจ้าหญิงอยู่ใกล้ๆกระหม่อมทุกวันไม่ช้าคำสาปก็จะจางหายๆไป” แฮสตอบพรางมองหน้าเจ้าหญิง

                “จริงรึ ท่านข้อพิสูจน์อะไรที่จะบอกได้ว่าคำกล่าวของท่านเป็นจริงตามที่ได้กล่าวอ้าง”พระราชาถาม

                หลังจากนั้นแฮสชายนิรนามก็ถามคำถามเจ้าหญิงหลายต่อหลายคำถาม ไม่เพียงเท่านั้นยังเปิดโอกาสให้ทุกคนถามคำถามเพื่อเป็นการทดสอบความทรงจำ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหญิงสามารถตอบได้ทุกคำถาม เหล่าข้าราชบริพารแต่โห่ร้องสรรเสริญ พระราชาสั่งให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่เจ้าหญิงมีความทรงจำที่ดีดังเดิม

                ในคืนที่พระจันทร์สีน้ำเงินทอแสง ในปราสาทสีเงินวาวที่มียอดแหลมสูงเสียดฟ้า มีงานเลี้ยงฉลองที่ปราสาท พระเอกในงานนี้จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกเสียจากชายนิรนามที่มีนามว่า แฮส  ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาหวังดีหรือหวังร้าย ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเขามาจากดินแดนอันไกลโพ้นที่อยู่ทางใต้ ทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเขาเป็นผู้ช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากความทุกข์ระทม

 

>>> comment here